ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชพงษ์
ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
................................................................................................................................

1.เศรษฐกิจฐานความรู้
=================

                 
ในศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยรวมทั้งประเทศอื่นๆ ทั่วโลกได้เริ่มเข้าสู่กระแสใหม่ของการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าสังคมความรู้( knowledge society ) 
ระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ ( knowledge base economy ) ที่ใช้ความรู้และนวัตกรรม ( innovation ) เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาและการผลิต มากกว่าเงินทุนและ
แรงงาน 
                       
เศรษฐกิจฐานความรู้ หมายถึง เศรษฐกิจอาศัยการผลิต การแพร่กระจายและการใช้ความรู้ เป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้เกิดการเติบโตสร้าง
ความมั่งคั่งและสร้างงานในอุตสาหกรรมทุกรูปแบบ

                        ความรู้ที่สำคัญที่สุดคือความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนาความรู้ใหม่และเทคโนโลยีใหม่จำเป็นต้องใช้การวิจัยและพัฒนา โดย
เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานความรู้ของประเทศดังนั้นในประเทศที่เริ่มเข้าสู่เศรษฐกิจฐานความรู้การจัดการ
บริหารระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศนั้นจะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น หน่วยงานวิจัยและพัฒนาทั้งภาครัฐ สภาบันอุดมศึกษาและเอกชน จะเป็นแกน
กลางของระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศที่ช่วยให้เกิดนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าว

ระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีบทบาท 3 ประการด้วยกัน กล่าวคือ...

             1. การผลิตความรู้ ( knowledge production )
------>  โดยการค้นคว้า วิจัย พัฒนาออกแบบและวิศวกรรมศาสตร์เพื่อทำให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่
             2. การส่งต่อความรู้ ( knowledge transmission )
-->  โดยให้การศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้เกิดความรู้ใหม่ฝังเข้าไปในตัวคน
            
3. การถ่ายทอดความรู้( knowledge transfer ) ------>  การผลักดันความรู้ให้ออกจากตัวคนเข้าไปสู่การแก้ปัญหา โดยเฉพาะให้ความรู้ไปสู้กระบวน
                                                                                                         ทางอุตสาหกรรมการเกษตรและบริการ
2. การถ่ายทอดความรู้
================
                      ระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีบทบาทที่สำคัญในการถ่ายทอดและกระจายความรู้ให้ทั่วถึงลักษณะที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจฐานความรู้คือ
การยอมรับวาการกระจายความรู้สำคัญเท่ากับการผลิตความรู้จึงนำไปสู่ความสนใจในเรื่อง " เครือข่ายการกระจายความรู้ " และ " ระบบนวัตตกรรมระดับชาติ "
ซึ่งเป็นโครงสร้างของความเชื่อมโยงในการทำให้เกิดความก้าวหน้าและการใช้ความรู้ในระบบเศรษฐกิจนี้ ระบบเครือข่ายการกระจายความรู้และระบบนวัตตกรรม
ระดับชาติ ถือว่าสำคัญต่อสมรรถนะของประเทศในการแพร่กระจายนวัตกรรม ดูดซับ แสะเทคโนโลยีต่อกระบวนการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์

                      ในระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ ระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องสร้างสมดุลไม่เพียงแต่ระหว่างบทบาทการผลิต ( วิจัย ) และการส่งต่อ ( ศึกษา
และฝึกฝน) เท่านั้นหากยังต้องรวมหน้าที่ที่สามคือ การถ่ายทอดความรู้ไปสู่ตัวเล่นทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเล่นทางการค้าที่มีบทบาทในการ
ใช้ประโยชน์ของความรู้ กลุ่มประเทศ OECD เน้นการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างระบบวิทยาศาสตร์กับภาคเอกชนเป็นอย่างมากเพื่อเร่งรัดให้เกิดการแพร่
กระจายความรู้ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลในกลุ่มประเทศ OEDC จึงมีกลไกการให้สิทธิและประโยชน์ต่างๆ แก่มหาวิทยาลัยที่มีความร่วมมือกับภาคเอกชนในการคัดเลือก
และดำเนินการการวิจัย 


         ทำนองเดียวกัน สถาบันวิจัยภาครัฐก็ได้รับนโยบายให้เน้นความสัมพันธ์กับภาคเอกชนมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรม
 เข้ามามีส่วนช่วยในการกำหนดทิศทางการวิจัยหน่วยวิจัยภาครัฐร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในระบบเศรษฐกิจฐานความรู้
 รัฐบาลจะลงทุนสนับสนุนการวิจัยที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของตนเอง ตัวอย่างที่สำคัญ ได้แก ่การลงทุน
 ในเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น รัฐบาลมีมาตรการต่างๆที่จะให้มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ
 เอกชน ภาครัฐและมหาวิทยาลัย
          
            มาตรการของรัฐเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับเอกชนในการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของ
เอกชนมีให้เห็นในหลายประเทศ เช่น ในประเทศออสเตรเลีย รัฐบาลกำหนดให้บริษัทเอกชนสามารถหักภาษีค่าใช้จ่าย
ด้านวิจัยและพัฒนาได้ 125% ให้เงินอุดหนุนโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดวัตกรรมตามความต้องการของภาคชน
เอง มีโครงการแพร่กระจายเทคโนโลยี ( TECHNOLOGY DIFFUSION PROGRAM ) เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นนำมีการตั้งศูนย์ความร่วม
มือว่าด้วยการวิจัย ( COOPERATIVE RESEARCH CENTER) มากกว่า40 แห่ง เพื่อปรับปรุงกลไกการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันวิจัยของรัฐและเอกชน
และทำให้ผลการวิจัยที่เกิดขึ้นร่วมกันนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเชิงพาณิชย์และยังตั้งกองทุนการลงทุนนวัตกรรม ( INNOVATION INVESTMENT FUND )
ให้การสนับสนุนแก่บริษัทขนาดเล็กแต่มีความเป็นเลิศในเทคโนโลยีใหม่ ๆ

                   ในประเทศแคนนาดา มีโครงการช่วยเหลือการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม ( industrial research assistance program ) IRAP ซึ่งเป็นโครงการให้ความ
ช่วยเหลือด้านเทคนิคและการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในทุกสาขา เพื่อกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมโครงการนี้ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัท จำนวน
13,000 บริษัท ต่อปี โดยให้เงินช่วยเหลือโครงการต่างๆ 4,300 โครงการ องค์ประกอบ ความสำเร็จหลักของโครงการนี้คือ การมีผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
( industrial technology advisor :ITA) จำนวน 260 คนประจำอยู่ที่ 110 ศูนย์ทั่วประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เอกชน

                   ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มีประสพการณ์ในอุตสาหกรรมมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีมีการทำงานที่เป็นอิสระ และสามารถ ตัดสินใจ
ให้ความช่วยเหลือ แก่วิสากิจได้ด้วยตนเอง งานของผู้เชี่ยวชาญจึงไม่จำกัดเพียงการให้เงินช่วยเหลือแก่บริษัท แต่เป็นการสร้าง
ความสัมพันธ์ระยะยาวกับบริษัท โดยทำตัวเป็นหุ้นส่วนที่ทำให้บริษัทเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

                    สิงคโปร์ใช้บริษัทข้ามชาติ ( transnation companies: TNCS ) ในการช่วยยกระดับขีดความสามารถทางเทดโนโลยี
ของบริษัทท้องถิ่น โดยจัดให้มีโครงการยกระดับอุตสาหกรรมท้องถิ่น ( local industry upgrading program:LIUP ) ซึ่งเริ่มขึ่นในปี 
ค.ศ.1996 ภายใต้การบริหารของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ ( economic development board EDB ) หัวใจของ
โครงการคือการที่สำนักงานนี้จ่ายเงินเดือนให้วิศกรที่มีประสบการณ์สูงของบริษัทข้ามชาติ ที่ร่วมในโครงการยกระดับอุตสาหกรรม
ท้องถิ่นเข้าไปช่วยเหลือผู้ขายท้องถิ่น

               ขั้นตอนของความช่วยเหลือมีดังนี้... 

            1.  วิศวกรของบริษัทข้ามชาติสำรวจและเลือกผู้ขายท้องถิ่นที่มีศักยภาพเพียงพอในการยกระดับความสามารถทางเทโนโลยีและสามารถรับความช่วยเหลือ
            2.  วิศกรของบริษัทข้ามชาติใช้ประสพการณ์และความรู้ของตนตามมาตรฐานของบริษัท วิเคราะห์ปัญหาและจุดอ่อนของการผลิตและการจัดการของผู้ขาย
                  ท้องถิ่น
            3.  วิศวกรของบริษัทข้ามชาติให้คำแนะนำและแนวทางต่อผู้ขายท้องถิ่น เพื่อยกระดับความสามารถ โดยใช้ทรัพยากรของบริษัทเช่น อนุญาตให้ผู้ขาย
                  ท้องถิ่นส่งช่างเทคนิคมาเข้ารับการฝึกอบรมที่บริษัทจัดขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาของผู้ขายท้องถิ่น ในขณะเดียวกันก็ให้คำแนะนำต่อผู้ขายท้องถิ่นถึงหน่วย
                  งานของรัฐ ที่ให้ความช่วยเหลือต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ รวมทั้งกระบวนการขอรับความช่วยเหลือเนื่องจากวิศวกรเหล่านั้นมีความรู้ใน
                  เรื่องการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐต่างๆ เป็นอย่างดี
            4.  วิศกรของบริษัทข้ามชาติเหล่านี้จะมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันเป็นประจำ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อนำไปสู่
                  การปรับปรุงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขายท้องถิ่น และนำไปสู่วิธีการที่ดีขึ้น ทำให้วิศวกรเหล่านี้ได้ความรู้อันสามารถนำไปช่วยเหลือผู้ขายท้องถิ่น
                  นอกเหนือไปจากความรู้ที่ได้จากบริษัทข้ามชาติที่ตนทำงานอยู่นอกจากนั้นยังทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
                  สามารถรับทราบปัญหาของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการใหม ่ๆ

                   โครงการยกระดับอุตสาหกรรมท้องถิ่นนี้ ในตอนแรกเน้นการให้บริษัทข้ามชาติช่วยเหลือผู้ขายท้องถิ่นในการพัฒนากระบวนการผลิตและการจัดการ
ทั่วไป ในขั้นต่อมามีเป้าหมายคือการทำให้ผู้ขายท้องถิ่นร่วมกับบริษัทข้ามชาติ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขบวนการผลิต ในหลายกรณีวิศวกรของบริษัทข้ามชาติ
ได้ลาออกจากบริษัทแล้วเข้าร่วมกับผู้ขายท้องถิ่นที่ตนเคยช่วยเหลือ

3. ความเข้าใจในกลไกการถ่ายทอดความรู้ 
==============================
                   ในระยะ 10  ปีที่ผ่านมา  ความเข้าใจของประเทศไทยต่อความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  โดยเฉพาะการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ตัวเล่นทาง
เศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเล่นทางการค้า กล่าวคือ ภาคเอกชนที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายที่มีบทบาทในการใช้ประโยชน์ของความรู้ แม้นจะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่สูง
เท่าที่ควร หากมีการประชุมสัมนากันเมื่อไร ก็มักจะมีคำกล่าวกันมากกว่าหน่วยงานวิจัยและพัฒนาโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยและภาครัฐมักจะไม่ใส่ใจเรื่องการถ่าย
ทอดและกระจายความรู้ไปสู่ภาคเอกชน

                  ผู้อภิปรายทั้งหลายอยากให้มีการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ภาคเอกชนทั้งนั้น แต่ท่านเหล่านี้มักจะขาดความเข้าใจและไม่พยายามทำความเข้าใจในกลไกการ
ถ่ายทอดและกระจายความรู้ไปสู่ภาคเอกชน มักจะเข้าใจว่าการถ่ายทอดเป็นบทบาทของนักวิชาการเท่านั้น แต่ไม่เข้าใจว่า การถ่ายทอดและการกระจายต้องอาศัย
ความร่วมมือของภาคเอกชนด้วย ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงหากปราศจากกลไกที่จะเชื่อมโยงกันระหว่างภาคเอกชนกับภาคมหาวิทยาลัยและรัฐแล้วก็จะไม่ใคร
ช่วยเกื้อกูลให้เกิดการถ่ายทอดและกระจายความรู้ระหว่างกันได้

อะไรคือกลไกในการถ่ายทอดและกระจายความรู้...? --- > ประเทศที่ประสบความสำเร็จแล้วเขาทำอย่างไร...? ---> ประเทศไทยมีหรือไม่...?
                 ตัวอย่างของประเทศออสเตรเลีย แคนนาดา และสิงคโปร์ที่กล่าวมาข้างต้น คือ ตัวอย่างของกลไกที่ดีและประสบความสำเร็จมาแล้ว กล่าวคือมีการทำงาน
ในลักษณะเชื่อมโยง มีประฏิสัมพันธ์กันระหว่างภาคเอกชนและแหล่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยและภาครัฐ

                
ข้อที่ควรสังเกต..และตระหนักให้ดีคือ มีการทำงานเป็นระบบ มีหน่วยงานรับผิดชอบ และที่สำคัญคือมีการลงทุนให้เกิดการถ่ายทอดและกระจายความรู้
ไปสู่ภาคการผลิต  การลงทุนดังกล่าวมักจะเป็นการรับภาระร่วมกับระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ แต่มีการพิสูจน์ได้ว่าการลงทุนดังกล่าว  มีความก้าวหน้าทางมูลค่า
เพิ่มของผลิตภัณฑ์ของบริษัท หรือ "กำไร" ( gain ) ประเทศเหล่านี้ถือว่าภาครัฐและเอกชนเป็นหุ้นส่วน ( partners ) กันการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการถ่ายทอด
และการกระจายความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เข้าไปสู่กระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ นอกจากจะทำให้เอกชนทำกำไรและขยายกิจการอันเนื่องมาจาก
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่ภาครัฐได้คือการเก็บภาษีจากผลกำไรจาการประกอบธุรกรรมของเอกชนตลอดจนการรักษาและขยายการจ้างงาน
ให้พลเมืองมีงานทำ เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศกลไกเหล่านี้ปัจจุบันนิยมเรียกกันว่า " ระบบนวัตกรรม " หรือถ้าใหญ่มากขึ้นก็เรียกกันว่า " ระบบ
นวัตกรรมแห่งชาติ " หรือหากใช้คำศัพท์ที่ง่ายต่อความเข้าใจคือทำงานร่วมกันเป็น " ระบบเครือข่ายกระจายความรู้ " นั้นเองเพราะการทำงานเป็นเครือข่ายจะทำ
ให้เกิดการถ่ายทอดและกระจายความรู้ซึ่งกันและกัน  ทำให้ได้มาซึ่งผลิตภาพ ( productivity )  ที่สูงขึ้นมีผู้บริหารองค์กรระดับชาติคนหนึ่งของประเทศแคนาดา มา
บรรยายที่ประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน 2544  กล่าวไว้อย่างง่าย ๆ  ในเชิงธุรกิจว่าระบบการวิจัยเป็นการเปลี่ยนเงินเป็นความรู้ส่วนระบบนวัตกรรมเป็นการ
เปลี่ยนความรู้กลับไปเป็นเงินที่มีค่ามากขึ้น 

               ฉะนั้นผู้บริหารระดับประเทศที่เป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนงบประมาณและการเก็บภาษี จึงทำความเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มิได้มีแค่การวิจัยและพัฒนาเท่านั้น แต่ต้องมีการถ่ายทอดและกระจายความรู้ในลักษณะระบบนวัตกรรมเครือข่ายกระจายความรู้ดังกล่าวให้เกิดความสมดุลซึ่งกัน
และกัน มิฉะนั้นเราก็ยังผิดหวังในระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่อไปอีกนาน

4. ประเทศไทยกับกลไกการถ่ายทอด
==========================
               สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหง่ชาติ ( สวทช ) ตระหนักถึงความสำคัญของกลไกการถ่ายทอดและกระจายความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโน
โลยีในลักษณะที่มีปฏิสัมพันธ์ฃึ่งกันและกัน จึงได้จัดหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงเรียกว่า ฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อให้ประเทศไทย
ได้เริ่มมีกลไกการถ่ายทอดและกระจายความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นระบบเหมือนนานาชาติ.

               ฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจเทคโนโลยี มี  กิจกรรมที่อาจกล่าวได้ว่ามีลักษณะเป็น " ระบบนวัตกรรม " หรือ " ระบบเครือข่ายกระจายความรู้ "
 ประกอบด้วย 4 กิจกรรมดังนี้

                กิจกรรมที่ 1.  การสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและวิศวกรรมภาคเอกชน
                กิจกรรมที่ 2.  การบริการปรึกษาทางอุตสาหกรรม
                กิจกรรมที่ 3.  การบริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา
                กิจกรรมที่ 4.  การเลือกและรับเทคโนโลยี
                กิจกรรมที่ 5.  การบริการด้านมาตรฐาน การทดสอบและการควบคุมคุณภาพ

              การสนับสนุนการวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมภาคเอกชน เป็นกิจกรรมที่ต้องการผลักดันภาคเอกชนให้ทำการวิจัยและพัฒนาโดยการสนับสนุนด้านการเงิน
ทั้งในรูปแบบของเงินกู้ดอกเบี้ยตำ ซึ่งให้การสนับสนุนได้ในวงเงิน 20 ล้านบาทแต่ไม่เกินร้อยละ 50 ของงบประมาณโครงการ และเงินทุนให้เปล่า ซึ่งให้การสนับ
สนุนได้ในวงเงิน 3 ล้านบาท และไม่เกินร้อยละ 50 ของงบประมาณโครงการ การบริการปรึกษาทางอุตสาหกรรมเป็นกิจกรรมสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยในรูปแบบ
ของการใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเข้าช่วยปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต

              ดังนั้น สวทช จึงได้นำเอาปัจจัยที่เข็มแข็งขององค์กรคือ เทคโนโลยี ในรูปของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ภายใต้เครือข่ายทั้งใน
และต่างประเทศ มาใช้เป็นเครื่องมือในการผลักดัน  ให้เกิดการปรับโครงสร้างการผลิตของอุตสาหกรรมไทยได้อย่างรวดเร็วและมี
ประสิทธิภาพ โดยมีการสนับสนุนอย่างครบวงจร คือ ในด้านเทคนิค จะมีการเข้าเยี่ยมโรงงานเพื่อสำรวจและวิเคราะห์ปัญหาทางเทคนิค
เบื้องต้น การเลือกสรรผู้เชี่ยวชาญและติดต่อเจรจาเพื่อว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา การติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลการทำงานของ
ผู้เชี่ยวชาญตลอดจนการแนะนำแหล่งข้อมูลทางเทคนิคและเชื่อมโยงไปสู่กิจกรรมด้านอื่นๆ ที่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของ สวทช
ในด้านการเงิน มีการสนับสนุนในส่วนของค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญได้สูงถึงร้อยละ75 ภายในวงเงินสูงสุด 500,000 บาท ซึ่งเป็น
กลยุทธ์ขั้นต้นที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนของผู้ประกอบการเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและจะเชื่อมโยงไปสู่การสร้างขีดความ
สามารถในการทำวิจัยและพัฒนาของอุตสาหกรรมไทย อันจะนำไปสู่การเพิ่มสมรรถนะของการแข่งขันในตลาดโลกอย่างเข้มแข็ง การ
สนับสนุนการพัฒนาสมรรถภาพในการเลือกรับเทคโนโลยี ได้ให้การสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและ
ขนาดเล็กของไทย ให้ได้มีโอกาสเสาะหาและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่หรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมจากต่างประเทศ เพื่อปรับปรุง
เทคโนโลยีสำหรับขบวนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเจรจาธุรกิจกับบริษัทต่างประเทศซึ่งจะนำไปสู่การ
เลือกและรับเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับบริษัทต่อไป

              กิจกรรมบริการทรัพย์สินทางปัญญาได้ให้บริการด้านต่าง ๆ โดยได้เข้าไปช่วยเหลือภาคเอกชนที่มีกิจกรรมด้านการวิจัยและ
พัฒนาการให้คำปรึกษา ด้านนิติกรรมสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา และช่วยเหลือภาคเอกชนในการดำเนินการขอรับความ
คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา

             การบริการด้านมาตรฐาน การทดสอบ และการควบคุมคุณภาพ เป็นการสนับสนุนระบบคุณภาพและการสอบเทียบเครื่องมือวัด
แก่ภาคอุตสาหกรรมโดยมีกิจกรรมหลัก 4 ด้านได้แก่ ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ด้านการบริการด้านการวิจัยและพัฒนาและด้าน
การส่งเสริมและสนับสนุนทางการเงิน

                     ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้จัดฝึกอบรมด้านการจัดการคุณภาพและหัวข้อที่เกี่ยวข้องทั้งการจัดฝึกอบรมทั่วไปและการฝึกอบรมภายในบริษัท
ด้านการบริการได้ให้การบริการปรึกษาด้านระบบคุณภาพ ISO9000 ทั้งในรูปแบบเต็มโครงการคือ ดำเนินการให้คำปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั้งบริษัทได้รับการ
รับรอง และในรูปแบบบริการปรึกษาเฉพาะครั้งโดยบริการตรวจ

ประเมินเพื่อเตรียมความพร้อมในการขอรับการรับรอง 
                    สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ยังไม่พร้อมในการเข้าสู่ระบบคุณภาพมาตรฐานสากล  ISO 9000 เนื่องจากความสลับซับซ้อนของมาตรฐาน
ทำให้ใช้เวลานานในการดำเนินการและมีค่าใช้จ่ายสูง จึงจัดตั้งมาตรฐาน thai foundation quality system ( TFQS ) ซึ่งง่ายต่อการประยุกต์ใช้และมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
เพื่อยกระดับด้านการจัดการระบบคุณภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กไทย ให้มีความพร้อมในการเข้าสู่การแข่งขันในตลาดโลก ระบบคุณภาพ TFQS นี้ได้
นำไปทดลองใช้กับบริษัท ที่เข้าร่วมโครงการจนประสพความสำเร็จแล้ว  และปัจจุบันอยู่ระหว่างทำการศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จ ในการที่บริษัทจะพัฒนาจาก
มาตรฐาน TFQS สู่ ISO 9000 และสู่ TQM ( total quality management ) ต่อไปด้านการส่งเสริมและสนับสนุนทางการเงิน ได้ดำเนินการสนับสนุนในหลายรูปแบบ
ที่สำคัญคือการให้ทุนโดยตรงกับภาคเอกชนเพื่อจัดตั้งระบบคุณภาพ ISO 9000 ไปประยุกต์ใช้ตั้งแต่ปี2540 และให้การสนับสนุนจนได้รับการรับรองแล้ว นอกจาก
นี้ ยังให้การสนับสนุนสมาคมมาตรวิทยาแห่งประเทศไทยเพื่อดำเนินกิจกรรมด้านมาตรวิทยาที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม และได้จัดตั้งศูนย์สอบเทียบเครื่องมือ
วัดอุตสาหกรรมขึ้นเพื่อให้บริการสอบเทียบ เครื่องมือวัดอุตสาหกรรมที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือน
มีนาคม  2543  นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ  ในการจัดทำหลักเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ที่เป็นพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพของ
อุตสาหกรรมไทยต่อไป 

5. การตอบสนองจากภาคเอกชน
=======================
                    จากผลการดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2535-2543 ฝ่ายพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจเทคโนโลยี ได้รับการตอบสนองจากภาคเอกชนเป็นอย่างดีมีบริษัท
ที่เข้ารับการบริการทั้งสิ้น 439 บริษัท ข้อที่ควรสังเกตของกิจกรรมตัวอย่าง เช่น การบริการปรึกษาทางอุตสาหกรรม นั้นมีลักษณะ 

      1. มองความต้องการเอกชนเป็นสำคัญ ( demand driven ) กล่าวคือ
       
ผู้เชี่ยวชาญจาก สวทช. จะเข้าไปวิเคราะห์ปัญหาทางทางวิทยาศาสตร์ของเอกชนในเบื้องต้นก่อน หากแก้ไขได้ก็แก้ไขให้เลยแต่หากปัญหา ลึกซึ้ง
           มากก็จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมช่วยแก้ไข
                                                                                                        
      2. มีความจริงจัง ( commiment ) 

           จากภาคเอกชนโดยต้องออกค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาด้วย เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดจากความไม่ใส่ใจจริง

      3. ความจริงจังจากภาครัฐทั้งในด้านที่มีหน่วยงาน ( ในกรณีนี้คือ สวทช.) 
       
รับผิดชอบทำเป็นหน้าที่และรัฐเองก็ร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้วย

      4. มีการประเมินผลโดยผู้เชี่ยวชาญว่า โครงการ การบริการที่ปรึกษาทางอุตสาหกรรม นั้นนั้นมีความคู้มทุน กล่าวคือ
                ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐศาสตร์ 4.64-9.49 เท่า นับเป็น " ระบบนวัตกรรม "
ที่เป็น " เครือข่ายกระจายความรู้ " ที่เชื่อมโยงกับเอกชนข้อสังเกตที่สำคัญอีกประการ
หนึ่งคือ กิจกรรมของภาครัฐโดย สวทช. ได้ผลักดันให้ระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้เข้าไปอยู่ในวงจรของระบบเศรษฐกิจ ที่บางทีเราก็เรียกว่า " วงจรมูลค่า "
( value chain ) ของกลุ่มเศรษฐกิจการค้าเป็นจำนวนถึง 439 บริษัท

                 --------------------------------------------------------------------------------------------

                                       

----------------------------------------------------------------------------------------------------
   More information, please contact   E-mail : chatchai@ckmit.com