5. ทำแผนการผลิต
ในส่วนนี้เป็นการกำหนดแผนการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการขาย
เป็นการวางแผนเกี่ยวกับการ
ตั้งโรงงานการจัดหาวัตถุดิบ
ระยะเวลาในการผลิตและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
6. การจัดองค์กรและผู้บริหาร
เป็นการวางแผนการบริหารการจัดการ การจัดองค์กรและบุคลากรทุกระดับ
7.
แผนการเงิน
เป็นการประมาณการรายรับ เงินลงทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ
คือการประมาณการยอดขายที่จะขายได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
เช่น ยอดขายรายปี หรือรายเดือน เงินลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ เช่นโรงงาน เครื่องจักร อาคารและอุปกรณ์สำนักงานอื่นๆ
และค่า
ใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
เพื่อจะได้ทราบว่าธุรกิจต้องการเงินลงทุนและเงินหมุนเวียนมากน้อยเพียงใดเพื่อจะนำไปสู่การวาง
แผนการจัดหาเงินในส่วนนี้ ควรทำประมาณการงบกำไรขาดทุน จบดุล งบกระแสเงินสด การวิเคราะห์จุดเสมอตัว
ตลอดจนผล
ตอบแทนที่จะได้รับและระยะเวลาคืนทุน
2. กำหนดภารกิจ ( Mission ) และเป้าหมาย
( Goals )
การตั้งร้านค้าต้องกำหนดให้แน่ชัดว่าจะตั้งร้านเพื่อทำธุรกิจอย่างไร? เช่น ค้าขาย จะขายสินค้าอะไรบ้าง? จะขายไปยังผู้ซื้อทางธุรกิจ
( B to B ) หรือขายไปยังผู้ซื้อที่เป็นผู้บริโภค
( B To C ) หรือขายทั้ง 2 ตลาด หรือจะเป็นร้านค้าประเภทให้บริการเช่น เป็นเว็บท่า
( Portal Site ) หรือ
เป็นร้านค้าผสม ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่มักเป็นร้านค้าแบบผสม เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดภารกิจทางธุรกิจของบริษัท
เมื่อกำหนดแน่ชัดว่า
ธุรกิจจะทำอะไร?
ขั้นตอนต่อไปคือต้องกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจ เช่น เป้าหมายการขายเป้าผู้เข้าเยี่ยมชม เป้าหมายของผู้ใช้บริการแต่ละประเภท
เป็นต้น
ในการกำหนดภารกิจและเป้าหมายจะต้องคำนึงถึงปัจจัย
3 ประการดังนี้
1. ภารกิจและเป้าหมายต้องเป็นแนวทางเดียวกับแผนธุรกิจ
2. ระบุปัญหาที่จะเกิดอย่างถูกต้อง ตั้งแต่ตอนเริ่มต้น เพราะการคิดถึงปัญหาไว้ก่อนจะทำให้ธุรกิจหาทางแก้ไข
หรือพยายามหลีก
เลี่ยงซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงทั้งทางด้านเวลา ความพยายามและเงิน ตัวอย่างเช่น เมื่อทราบว่าผู้บริโภคมักจะสำรวจหลายๆ
เว็บก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อ ควรจะตรวจสอบกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งขันก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งราคาของคู่แข่งขัน
เป็นต้น ขอเสนอตัวอย่างของการระบุปัญหาและแนวทางแก้ไข.....
ปัญหา |
แนวทางการแก้ไข |
ลูกค้ามักจะเครียดหรือกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย |
ระบุหรือแสดงถึงระบบความปลอดภัยให้ลูกค้าทราบ
อย่างเด่นชัด |
ระหว่างเวลาที่มีคนใช้อินเตอร์เน็ตเป็นจำนวน มาก
มักจะทำให้ตอบสนองต่อลูกค้าทำได้ช้า |
ต้องแน่ใจว่าระบบสามารถรองรับปริมาณของลูกค้า
เป็นจำนวนมากได้ |
บางครั้งระบบอาจมีปัญหาทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถทำ
งานได้ |
จัดให้มีระบบสำรองไว้ป้องกัน |
ลูกค้ามักจะมีการเปรียบเทียบราคาสินค้าจากหลายๆร้าน |
ตั้งราคาให้สามารถสู้กับคู่แข่งได้ |
คู่แข่งขันมักจะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตลอดเวลาและ
เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว |
ต้องพยายามกำหนดกลยุทธ์ให้อยู่ในระดับแนวหน้า
เสมอ |
ลูกค้ามักจะไม่สนใจ
ถ้าเข้ามาที่เว็บไซต์แล้วพบว่าไม่มี
อะไรใหม่ๆ |
ปรับเว็บไซต์ให้ใหม่อยู่เสมอ |
3. ทบทวนกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ นั้น สามารถที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้โดยการ
พิจารณาตั้งแต่ตลาดเป้าหมายว่าวิธีการแบ่งส่วนตลาดเหมาะสมหรือไม่? กลยุทธ์ส่วนผสมการตลาด
( คุณภาพสินค้า ความ
หลากหลายของสินค้า ราคา การส่งเสริมและการสื่อสาร การตลาด
) เหมาะสมหรือไม่?เป็นต้น
ในขั้นตอนนี้จะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ทุกข้อ
1. อะไรคือภารกิจของท่าน? ท่านเป็นใคร? อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจของท่านเหนือกว่าคู่แข่ง?
2. ท่านต้องการให้เว็บไซต์หรือร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ของท่านทำหน้าที่อะไร?
เว็บไซต์จะช่วยให้ธุรกิจท่านประสพผลสำเร็จได้
อย่างไร
3. ท่านจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของท่าน ประวัติ ลูกค้ารายสำคัญ ปรากฏบน
web หรือไม่?
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ขายสินค้า
ได้หรือไม่?
4.
ท่านจะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า บริการ คุณลักษณะ คุณประโยชน์ ราคา
และข้อมูลอื่นที่ช่วยในการตัดสินใจซื้ออย่างไร?
5. ถ้าท่านทำการค้าแบบดั้งเดิมควบคู่กับทำการค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ จะขายสินค้าประเภทเดียวกันหรือต่างชนิดกัน?
ถ้าชนิดเดียวกัน จะจัดการด้านสินค้าคงคลังอย่างไร?
6. รายละเอียดอะไรบ้าง?
ที่จะบรรจุในอิเล็กทรอนิกส์แคตตาล็อก
7. ท่านจะใช้ web site ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าของท่านอย่างไร? จะบริการลูกค้าอย่างไร? และจะเก็บรวบรวม
ความคิดเห็นจากลูกค้าอย่างไร?
8.
ท่านจะให้บริการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าท่านอย่างไร? ลูกค้าท่านจะเชื่อมโยงไปยัง web site ได้มากน้อยแค่ไหน?
3. การจัดการสินค้าด้านอินเตอร์เน็ต
( Access the Internet )
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอน ของการจัดการจัดหาทรัพยากร เพื่อให้สามารถเปิดร้านค้าทางอินเตอร์เน็ตได้ ทรัพยากรประกอบด้วย
2 ส่วนหลัก คือ
1.
อุปกรณ์
คือ การจัดหาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า อุปกรณ์หลักประกอบด้วย
เครื่องคอมพิวเตอร์
( pc ) หน่วยประมวลผลกลาง
( cpu ) ความสามารถ ในการจัดเก็บข้อมูล
( Gigabytes ) หน่วยความจำหลัก ( ram )
หน่วยความจำสำรอง ( Hard Drive ) อุปกรณ์เปลี่ยนแปลงรหัสข้อมูล
( Modem ) และจอภาพ
ในการพิจารณาจัดหาอุปกรณ์เหล่านี้ควร
หาอุปกรณ์ที่ดีที่สุด ที่จะจัดหาได้ เพราะเทคโนโลยีล้าสมัยเร็วมากและควรจัดซื้อจากบริษัทที่มีความชำนาญสามารถให้คำปรึกษาได้
และมีบริการตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง เพราะถ้าอุปกรณ์มีปัญหาจะทำให้การดำเนินธุรกิจหยุดชงักได้ ถ้าใช้ระบบ EDI
เพื่อแลกเปลี่ยน
ข้อมูลด้านสินค้าคงคลังและด้านการเงินกับผู้จำหน่ายสินค้าจะต้องพิจารณาระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็นพิเศษเพราะต้องการหน่วยความ
จำที่มากความเร็วสูง จอภาพที่ใหญ่พอที่จะเห็นหน้าร้านหรือแต่ละเว็บเพจได้เต็มหน้า
2.
จัดหาเครือข่ายในการติดต่อสื่อสาร
การค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์จะต้องเชื่อมโยงระบบของกิจการกับเครือข่ายภายนอก
ซึ่งเชื่อมโยง
ถึงกันหมดทั้งโลก ซึ่งจะต้องพิจารณาสิ่งต่างๆ
ดังนี้
1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัท
ซึ่งใช้ระบบใดขึ้นอยู่กับขอบเขตการจัดการของแต่ละบริษัท
ถ้าการเชื่อมโยงในบริษัททำในบริษัทต้องใช้ระบบ LANS ( Local Area Networks)
แต่ถ้าบริษัท
มีสาขาหลายแห่กระจายอยู่ทั่วประเทศต้องใช้ระบบ WANS
( Wide Area Networks )
2. การเชื่อมโยงกับอินเตอร์เน็ต การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ต
ทำได้โดยการใช้
โมเด็ม ซึ่งความเร็วของโมเด็มมีหลายขนาด
ปัจจุบันอยู่ที่
56K
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ
อีกเช่น การใช้สายเครเบิล DSL
( Digital Subscriber Line ) และอื่นๆ
ขณะนี้ที่ใช้กันในประเทศ
ไทยคือ โมเด็ม 56K และเทคโนโลยี DSL ในบางบริษัท
3. ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ( Internet Service Provider : ISP)
คือผู้ที่ท่านจะนำเว็บไซต์ไปฝากใน
อินเตอร์เน็ต
ISP จะเป็นผู้พาร้านค้าของท่านไปเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
ปัจจัยสำคัญ
สำหรับการเลือก ISP คือ ความเร็วเพราะทำให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดี
ที่สุด
คำถามต่อไปนี้จะเป็นเครื่องมือในการคัดเลือกผู้ให้บริการ |
|
ความเร็วของผู้ให้บริการ ในการเชื่อมโยงกับระบบอินเตอร์เน็ตทั้งระบบ อยู่ในระดับใด
?...
ผู้ให้บริการในพื้นที่ในการเปิดร้านค้ามากพอสำหรับการดำเนินงานปัจจุบันและขยายงานในอนาคตหรือไม่
? และค่าใช้จ่าย
เท่าใด ?...
ผู้ให้บริการมีประวัติดำเนินงานอย่างไร
?
ผู้ให้บริการมีระบบสำรองหรือไม่
?
ผู้ให้บริการมีบริการอื่นที่ทำให้ท่านได้รับบริการครบวงจรหรือไม่
?
จดหมายอิเล็กทรอนิคส์ได้รับบริการจากผู้ให้บริการมีประสิทธิภาพดีเพียงใด
?
4. เบราเชอร์ ผู้ให้บริการในการชมอินเตอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันมี 2 บริษัท ที่ได้รับความนิยม คือ Netscape Navigator
www.netscape.com
และ Microsoft Internet Explorer www.microsoft.com
5. โปรแกรมคอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่จะช่วยในการทำร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์มีประสิทธิภาพที่ดี เช่น ช่วยในการออกแบบเว็บไซต์
การดึง
ดูดหรือเรียกร้องความสนใจจากลูกค้า และอื่นๆ ซึ่งโปรแกรมต่างๆเหล่านี้ทางเว็บไซต์
www.tucows.com มีรายชื่อโปรแกรมที่เกี่ยว
ข้องกับอินเตอร์เน็ตทั้งหมด |
4. การจัดหาสินค้าและบริการต่างๆ ( Procure Product and
Service )
กรณีที่เป็นเว็บไซต์เพื่อขายสินค้า เช่น หนังสือ เพลง ดอกไม้ เป็นต้น ต้องเตรียมความพร้อมในตัวสินค้า เช่นการขายหนังสือต้องเตรียม
เรื่องสต็อกสินค้า การจัดส่ง การชำระเงิน การขายเพลง
ซึ่งไม่ต้องการจัดส่ง
ต้องเตรียมโปรแกรมสำหรับการดาวน์โหลด หรือการขายดอกไม้
ต้อง
เตรียมหาพันธมิตรในพื้นที่ต่างๆ เพื่อจัดส่งให้ลูกค้าได้ทันเวลา
แล้วคงสภาพความสดของดอกไม้ ในขณะเดียวกัน
ต้องได้มาตรฐานเดียวกันทุกพื้น
ที่ด้วย
กรณีการให้บริการ เช่น เป็นแหล่งค้นหาข้อมูล (Search Engine) บริการกระดานข่าว
( Web Board ) หรือห้องสนทนา ( Chat Room )
บริการ
เหล่านี้ต้องเตรียมความพร้อมทั้งทางด้านโปรแกรมและการจัดการ
เกณฑ์ในการคัดเลือกสินค้า
การพิจารณานำสินค้ามาขายในร้านมีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้
1.
สินค้าต้องสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้
2. ถ้าเป็นสินค้าหายาก( Exclusive) จะดีมาก เพราะผู้ซื้อ ไม่สามารถหาซื้อได้จากช่องทางอื่น
3. ราคาไม่แพงจนเกินไป
4. น้ำหนักเบา มีขนาดใหญ่พอสมควร ง่ายต่อการขนส่ง
5. มีสินค้าให้เลือกได้หลากหลาย
6. ผู้จำหน่ายวัตถุดิบหรือผู้ผลิตสินค้าเป็นผู้มีความสามารถทางการจัดการ
เพราะถ้าสินค้าขาดมือ
จะทำให้พลาดโอกาสทางการขาย
5.
การออกแบบเว็บไซต์
( Design Website )
ขั้นนี้เป็นการสร้างหน้าร้านและเพื่อเป็นโชว์รูมสำหรับแสดงสินค้าและติดต่อสื่อสารกับลูกค้า
ซึ่งประกอบด้วย
2 ส่วนหลัก คือ
1.
หน้าร้าน
( Home page ) และแผนกต่างๆ
( Web page ) ปัจจัยหลักที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบร้านค้า คือ
"การสร้างความแตกต่าง"
และการคำนึงถึง "ความสอดคล้อง" กันพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
www.ivillege.com
เป็นเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้หญิง
เพราะมีเรื่องทุกเรื่อง
ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้หญิง ในการออกแบบควรคำนึงความเร็วในการเรียกดูแต่ละหน้า
โดยเฉพาะหน้าแรกเพราะถ้าเรียกดูได้ช้า
ผู้บริโภค
ก็จะเปลี่ยนไปดูเว็บอื่นแทน พึงระลึกไว้เสมอว่า
" ข้อมูล " สำคัญกว่า " เทคนิค "
2.
การจัดการหลังร้านค้า คือ การจัดการระบบต่างๆ
เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้
ส่วนนี้คือส่วนของโปรแกรมการสั่งงานต่างๆ
ทั้ง
2 ส่วนนี้ ถ้าผู้ประกอบการไม่สามารถจัดหาได้ หรือไม่มีความรู้ทางด้านการจัดการสามารถพึ่งบริการจากบริษัทผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตต่างๆ
ได้ อาทิ เช่น
การประมวลผลคำสั่งซื้ออัตโนมัติ เป็นโปรแกรมที่รวบรวมจำนวนของคำสั่งซื้อของลูกค้าแต่ละราย
และจำนวนเงินที่ลูกค้าต้องจ่าย
ระบบข้อมูลลูกค้า ( database ) ซึ่งจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนตัวลูกค้าซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ ระบบการชำระเงิน
ระบบการส่งมอบ
สินค้า ประเภทไม่ต้องขนส่งสินค้า
( สินค้าพวก soft goods )
ซึ่งผู้ซื้อใช้วิธีดาวน์โหลด การใช้อินทราเน็ต
( intranet )
คือระบบที่ใช้ติดต่อกับหน่วย
งานแต่ละหน่วยงานภายในองค์กรเดียวกัน
และเอ็กซ์ทราเน็ต
( extranets )
คือระบบที่ใช้ติดต่อกันระหว่างองค์กรที่ดำเนินธุรกิจร่วมกัน
6.
จัดทำอิเล็กทรอนิกส์แคตตาล็อก
( Create an Electronic Catalog )
เนื่องจากเราใช้เว็บไซต์ทำหน้าที่แทนทุกหน้าที่งานทางการตลาด
จึงต้องจัดทำอิเล็กทรอนิกส์แคตตาล็อก
ซึ่งเปรียบเหมือนกับแคตตาล็อก
สินค้าของการตลาดแบบดั้งเดิม
( Traditional Marketing ) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เลือกชมสินค้าได้อย่างเต็มที่
อิเล็กทรอนิกส์แคตตาล็อก
สามารถจัดทำได้
2 รูปแบบคือ
1.
แคตตาล็อกแบบเดี่ยว
( Stand-Alone-Catalog ) คือ
เป็นแคตตาล็อกที่แสดงสินค้าหรือบริการของบริษัทอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น
www.amazon.com ขายหนังสือด้วยวิธีนี้
2.
ทำเป็นศูนย์การค้าอิเล็กทรอนิกส์
( Electronic Mall หรือ Cyber Mall ) คือรวบรวมสินค้าหลายๆ
หมวด หมู่เช่น www.imall.com
ซึ่งมี
สินค้ามากว่า 1,500 ประเภท
ในการจัดทำแคตตาล็อกต้องคำนึงถึงปัจจัยดังนี้
1. การจัดหมวดหมู่ของสินค้าเพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
2. การจัดโชว์สินค้ามีความโดดเด่น และเรียกร้องความสนใจจากลูกค้า
ซึ่งสวนนี้ต้องพิจารณาทางเลือกให้รอบคอบระหว่าง
ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรและภาพ เพราะเทคโนโลยีที่ทำให้ภาพสวยจะทำการโหลดของหน้าจอช้า
3. การกำหนดความต่อเนื่อง
( link ) ของแต่ละหน้า เช่น ถ้าลูกค้าเข้ามาดูเสื้อผ้า ถ้าต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับแบบ ขนาด
และสี
ต้องสามารถคลิ๊กถามข้อมูลจนกระทั้งลูกค้าพอใจได้
7.
เลือกระบบและวิธีการจัดส่งสินค้า
( Select a Method of Transportation )
ขั้นนี้เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับระบบและวิธีการจัดส่งว่าจะใช้วิธีการใดบ้าง? เช่น จัดขนส่งได้กี่วิธี? ทางอากาศ ทางเรือหรือทางบก
เลือก
บริษัทจัดส่งสินค้า โดยพิจารณาจากชื่อเสียง ความถนัดเงื่อนไขต่างๆและผลงานที่ผ่านมา บริษัทจัดส่งบางแห่งจะไม่รับขนส่งสินค้าบางประเภท
เช่น
อาหารสด หรือดอกไม้
8.
กำหนดวิธีการจัดซื้อ ( Develop a Method of
Processing )
ในการสั่งซื้อสินค้าต้องคำนึงถึง ความสะดวกของลูกค้าให้มากที่สุดเป็นการพิจารณา
การเลือกซื้อ ซึ่งสวนใหญ่ใช้ระบบตระกร้าให้ลูกค้าเห็นว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร
?
การขนส่ง ซึ่งเป็นผลในการจัดการในขั้นตอนที่ 7
ซึ่งลูกค้าจะเลือกวิธีการจัดส่งเพื่อให้เหมาะสมกับลูกค้าและคำณวนค่าใช้จ่ายในแต่ละ
วิธีเพื่อให้ลูกค้าเลือกตามความเหมาะสม
วิธีการชำระเงิน ซึ่งต้องอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าแต่ละประเภท เช่น
การชำระด้วยเครดิตคาร์ด
สมาร์ทคาร์ด
อีคาร์ดหรือตัดบัญชี
ธนาคารเป็นต้น
ในการกำหนดวิธีการสั่งซื้อจะต้องจัดให้ระบบจ่ายเงินแบบทันทีทันใด
( Real -Time Payment Solution )
การจ่ายเงินอาจทำได้ 5 รูปแบบ คือ
1. เงินสดเมือได้รับสินค้า
2. จ่ายเป็นธนาณัติ
3. บัตรเครดิต
4. เงินสดอิเล็กทรอนิกส์
5.
สมาร์ทคาร์ด
|
9. เลือกระบบความปลอดภัย
( Select Security System )
ปัญหาที่สำคัญของการค้าอิเล็กทรอนิกส์ คือ ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของเลขที่บัตรเครดิตของตนผู้ซื้อกลัว
ว่าเมื่อชำระเงินโดยใช้บัตรเครดิต จะมีผู้ที่เอาเลขที่บัตรไปใช้ซื้อสินค้า ดังนั้น
จึงต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยให้
กับเจ้าของบัตรโดยทำเป็นรหัสหรือการกรอกข้อมูลอื่นๆ
ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ซื้อ
ระบบที่ใช้
ในปัจจุบันมี 2 ระบบคือ
1.
SSL ( Secure Socket Layer ) เป็นระบบที่จะต้องมีการเข้ารหัสข้อมูลก่อนส่งผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
และถอดรหัสเมื่อเข้าสู่ร้านค้าแล้ว ดังนั้นการขโมยข้อมูลระหว่างทางจะไม่สามารถถอดรหัสได้ แต่ร้านค้ามีความเสี่ยง
ที่ไม่สามารถทราบได้ว่า ลูกค้านั้นเป็นตัวจริงหรือไม่? เพราะใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ถุกติดตั้งที่ร้านค้าเท่านั้นนอกจาก
นี้พนักงานร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถนำเลขที่บัตรของลูกค้าไปใช้ในทางมิชอบได้
2.
SET ( Secure Electronic Transactions )
คล้ายกับ SSL
คือการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างส่งผ่านแต่ทุกๆ
ฝ่ายจะมี
ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์หมด ทั้งลูกค้า ร้านค้า และธนาคาร
ข้อมูลบัตรเครดิตจะถูกเก็บรักษาไว้ที่ธนาคารจึงป้องกัน
ปัญหาที่เกิดจากระบบ SSL ได้ทั้งหมด
การเลือกระบบจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับลูกค้าในด้านของความน่าเชื่อถือ
และเงินลงทุนในระบบ |
10. การส่งเสริมและการสื่อสารด้านการตลาด
( Promotion and Marketing Communication )
เป็นขั้นตอนการสื่อสารการตลาดเพื่อให้ลูกค้ารู้จักร้านค้าและเข้ามาเยี่ยมชม
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการซื้อขายสินค้าการส่งเสริมและการ
สื่อสารต้องทำดังนี้
1. การส่งเสริมและการสื่อสารแบบออนไลน์
( Online Promotion and Marketing Communication )
คือ การสื่อสารไปยังผู้ใช้อินเตอร์เน็ตโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อหลัก ซึ่งทำได้โดย
1.
เลือกชื่อโดเมนเนม การเลือกควรเป็นชื่อที่สื่อความหมายถึงธุรกิจที่ทำ เป็นการตั้งชื่อแบบที่เรียกว่า Functional
Brand Name อาทิ
เช่น www.stamthai.com
ซึ่งเป็นสื่อให้ลูกค้าเข้าใจว่าเป็นร้านที่ขายสินค้าเกี่ยวกับสแตมป์ของไทย
กรณีที่มีชื่อร้านที่ดีอยู่แล้วควร
ใช้ชื่อร้านหรือบริษัทนั้นเป็นโดเมนเนม
2. จดทะเบียนกับเสริซ์เอ็นจิ้น ปัจจุบันมีมากว่า 300 แห่ง ควรเลือกเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆ
3.
หาคำที่เป็นคำที่หมายถึงสินค้าหรือบริการ
เพื่อที่เมื่อลูกค้าค้นหาในเสริซ์เอ็นจิ้น จะได้หาง่าย
4. การเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายใกล้เคียงกันหรือเป็นเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง
2. การส่งเสริมและการสื่อสารแบบออฟไลน์
( Offline Promotion and Marketing Communication )
เป็นการใช้เครื่องมือการส่งเสริมการตลาดแบบดั้งเดิม โดยอาศัยสื่อการตลาดที่เป็นสื่อที่เข้าถึงในวงกว้าง เช่น
การโฆษณาตามสื่อต่างๆ
การประชาสัมพันธ์ และการใช้พนักงานขาย ตลอดจนเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ เช่น นามบัตร
ซองจดหมาย หัวกระดาษ แผ่นพับ ฯลฯ
ธุรกิจควรใช้การสื่อสารทั้ง 2 แบบเพราะในปัจจุบันการเข้าถึงและสร้างความประทับใจโดยใช้สื่อออนไลน์อย่างเดียวยังไม่มีประสิทธิภาพพอ
การส่งเสริมและการสื่อสารการตลาดต้องคำนึงถึงกฎของการสื่อสารดังนี้
1. การเข้าถึง
( Reach ) ต้องเลือกวิธีการและสื่อที่สามารถเข้าถึงตลาดเป้าหมายได้
2.
ความถี่ ( Frequency ) การสื่อสารต้องใช้ความถี่ที่เหมาะสม
3. ความประทับใจ
( Impact ) ข้อความที่สื่อไปยังผู้บริโภคต้องสามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจในตัวสินค้า
( Product Knowledge )
11. กำหนดวิธีการติดตามลูกค้า
( Refine your Customer Feedback)
ขั้นตอนนี้ คือการทำลูกค้าเกิดความภักดีต่อสินค้าและร้านค้า
( E-Tailing Loyalty ) ซึ่งทำได้โดย
1.
กระตุ้นให้ลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ อย่างสม่ำเสมอด้วยกลยุทธ์การตลาด อาทิเช่น การสร้างชุมชน การจัดกิจกรรมต่อเนื่องการนำเสนอ
สิทธิพิเศษต่างๆ เป็นต้น
2. ตรวจสอบความพึงพอใจของลูกค้าอยู่เสมอ ทั้งด้านสินค้าที่ลูกค้าซื้อ และบริการที่บริษัทนำเสนอ
3. ติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เป็นการตอกย้ำความทรงจำของลูกค้าที่มีต่อร้านค้า และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เครื่องมือที่นิยมใช้ คือ การส่งจดหมายข่าวด้วยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
( E-Mail )
ทั้ง 11 ขั้นตอน เป็นขั้นตอนหลักที่ผู้คิดจะทำธุรกิจแบบออนไลน์สามารถใช้แนวทางในการดำเนินธุรกิจได้ นอกจากนี้ในปัจจุบันมีศูนย์เพาะ
บ่มธุรกิจ (
Incubator ) ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการออนไลน์ เช่น ศูนย์ธรรมศาสตร์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
www.tuecom.com
ผู้เริ่มต้น
ทำธุรกิจสามารถขอรับบริการได้ ซึ่งองค์กรเหล่านี้ จะช่วยแนะวิธีการจัดตั้งร้านค้า และดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ขอรับการช่วยเหลือ เมื่อตั้งร้านค้าแล้ว
ผู้ประกอบการต้องหายุทธวิธีที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อใจ และมีความจงรักภักดีต่อร้าน
วิธีทำให้ลูกค้าเชื่อใจร้านค้า
1. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของเรา
อย่างครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อเป็นการแสดงถึงความจริงใจ ความซื่อสัตย์ และความพร้อมที่จะบริการลูกค้า
2. รายละเอียดของสินค้า บริการและข้อเสนอต่างๆต้องชัดเจนตรงไปตรงมา
และปฎิบัติตามกติกา
3. อย่าโฆษณาหรือโอ้อวดเกินความเป็นจริง เพราะลูกค้าพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นความจริงจะทำให้หมดความเชื่อถือได้
4. มีการรับประกัน จะช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องรู้สึกเสี่ยงกับการตัดสินใจซื้อสินค้าที่ไม่เห็นตัวสินค้าจริง
5. มีบุคคลอ้างอิง ถ้าเป็นไปได้ ควรจะพยายามขายให้กับบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิง
6.
อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าติดต่อได้ง่ายทั้งทางไปรณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือโทรศัพท์ และตอบคำถามลูกค้าโดยผู้มีความรู้และรวดเร็ว
การสร้างความภักดีต่อร้านค้า
เมื่อสร้างร้านค้าแล้วจะต้องหาวิธีสร้างความภักดี
( Loyalty ) จากลูกค้าเพื่อให้ใช้เวลาที่ลูกค้าอยู่กับอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่
อยู่ในร้านค้าของเรา
การสร้างความภักดีมีหลายวิธี ดังนี้
1. สร้างระบบสมาชิก และเสนอสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก
2.
จัดหาสินค้าและบริการใหม่ๆ
เพื่อให้เป็นทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้าอยู่เสมอ
3. ขายสินค้าอื่นที่เหมาะสม กับลูกค้าควนคู่ไปกับการขายสินค้าที่ลูกค้าเลือกซื้อ
( Cross Selling )
4. ขายสินค้าที่มีคุณภาพ หรือ
ราคาสูงกว่าสินค้าที่ลูกค้าใช้อยู่
( Up Selling )
5. จัดทำโปรแกรมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
( Customer Relation Management : CRM )
การเลือกทำการค้าอิเล็กทรอนิกส์
ผู้ประกอบการควรเข้าใจถึงลักษณะและกลยุทธ์
ของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
เพราะมีความแตกต่าง
จากร้านค้าแบบดั้งเดิมหลายประการ
ในการสร้างร้านค้าอิเล็กทรอนิกส์
จะต้องทำความเข้าใจกับเทคโนโลยี
ที่จะช่วยในการสร้างร้านค้า
การจัดการ
และการส่งเสริมร้านค้า แต่ไม่จำเป็นต้องผลิตหรือสร้างเทคโนโลยีได้ เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจในแนวคิดและประโยชน์จากเทคโนโลยีนั้นๆ
ต้องเข้าใจขั้นตอนในการตั้งร้านค้าและปฎิบัติตามขั้นตอน เพราะการเริ่มต้นอย่างถูกหลักการ จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ
โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งการทำแผนธุรกิจ
จะช่วยเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
และเป็นเสมือน
หลักประกันหนึ่งในการป้องกันความล้มเหลว
ของธุรกิจ......
|