การสื่อสารทางโทรศัพท์นับเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นสาธารณูปโภค
ที่สำคัญอย่างหนึ่งเพราะสามารถติดต่อกันได้อย่างกว้างขวาง
ไม่เพียงแต่ ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเท่านั้น แต่สามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศ โดยวิธีอัตโนมัติไม่ต้องผ่านพนักงาน โทรศัพท์ กลางได้อีกด้วยโทรศัพท์จึงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจและสังคมอื่นๆ ทุกชนิดกิจการด้านโทรศัพท์ได้แบ่งส่วน งานทางเทคนิคออกเป็น 2 ส่วน คือ งานตอนใน ( Inside Plant ) ได้แก่งานที่เกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องชุมสายโทรศัพท์และงานสายตอนนอก ( Outside Plant ) ได้แก่งานสร้างข่ายทางสายทั้งหมด ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ Main Ditribution Frame ( MDF ) เป็นต้นไปจนถึงเครื่องโทรศัพท์ที่บ้านของ ผู้เช่า รวมทั้งการบำรุงรักษาทางสายให้ใช้งานได้ตลอดเวลา งบประมาณการลงทุนทางด้านเทคนิคประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์จะใช้ไปกับงานด้านสายตอนนอกส่วนที่ เหลืออีก 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นส่วนของงานตอนใน ดังนั้นจะเห็นว่างบประมาณการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ที่งานสายตอนนอกจึงถือได้ว่างานสายตอนนอกเป็นงานที่สำคัญ อันดับหนึ่งของกิจการโทรศัพท์ การวางแผนงานด้านข่ายทางสายการติดตั้งรวมทั้งการบำรุงรักษาจึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ และถูกหลักเกณฑ์เพื่อให้เกิดประสิทธิ ภาพสูงสุดและคุ้มกับการลงทุนงานสายตอนนอกที่นอกเหนือไปจากงานวางแผนข่ายทางสายยังถูกแบ่งย่อยออกเป็นงานสร้างทางสาย ( Line Construction ) งานตัดต่อ เคเบิล ( Cable Splicing ) งานติดตั้งเครื่องโทรศัพท์ ( Station Installation ) และงานบำรุงรักษาทางสาย ( Line Maintenance ) งานสายตอนนอก ............................................................................................................................................................. งานสายตอนนอกเริ่มต้นตั้งแต่ Main Distribution Frame ( MDF ) ไปจนถึงเครื่องโทรศัพท์บ้านผู้เช่า Main Distribution Frame ( MDF ) เป็น Frame ที่ติดตั้งภายในอาคารชุมสายโทรศัพท์ เพื่อประโยชน์ดังนี้ - เป็นจุดแบ่งระหว่าง Inside Plant กับ Outside Plant - เป็นที่เชื่อมต่อสายเคเบิลระหว่างภายนอกกับภายในชุมสาย โดยจัดเรียงให้เป็นระเบียบ - เป็นที่ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันชุมสายโทรศัพท์เช่น Carbon Arester,Fuse,Heat Coil เป็นต้น - เป็นที่ใช้สำหรับตรวจสอบหาสาเหตุข้อขัดข้องของโทรศัพท์ว่าเป็นข้อขัดข้องที่เกิดภายในชุมสายหรือเกิดจากทางสายโทรศัพท์ Cable Entrance เป็นห้องที่ใช้ต่อสายเคเบิลใต้ดิน ( Underground Cable ) กับเคเบิลที่ใช้ต่อเข้ากับ MDF วางหัวต่ออยู่ในแนวดิ่ง เนื่องจากสายเคเบิล ใต้ดินมักจะใช้สายที่ใช้กระดาษเป็นฉนวน ( Lead Sheath Cable ) จึงจำเป็นต้องต่อกับ PVC Cable เพื่อสะดวกในการเข้าสายที่ MDF รวมทั้งเพื่อแยกสายขนาด ใหญ่ออกเป็นขนาดเล็กๆ ได้ Main Cable เป็นเคเบิลขนาดใหญ่มีคู่สายจำนวนมาก ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางของลวดตัวนำที่ใช้มีขนาดต่างๆ กันเช่น 0.32, 0.4, 0.5, และ 0.9 มิลลิเมตร Main Cable ที่ใช้ในการสร้างข่ายสายมี 5 แบบ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่นคือ
การนับคู่สายเคเบิล.............................................................................................................................................................
|
การรบกวน สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ... 1. การรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้า ( Electromagnetic Interference ) - หรือ EMI เกิดขึ้นได้เมื่อมอเตอร์ หรือแหล่งกำเนิดสัญญาณอื่นๆ ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา ทางไฟฟ้า เข้าไปรบกวนสัญญาณข้อมูลที่ส่งถ่ายบนเคเบิล 2. การรบกวนความถี่วิทยุ ( Radio Frequency Interference ) - หรือ RFI เกิดขึ้นเมื่อสัญญาณที่ส่งกระจายหรือบรอดคาสท์ ( Broadcast ) จากสถานีวิทยุ หรือสถานีโทรทัศน์ใกล้ๆ ทำให้เกิดการรบกวน 3. Crosstalk ( NEXT ) เกิดขึ้นเมื่อสัญญาณที่ส่งไปสายเส้นหนึ่ง มีความแรงกว่าสัญญาณที่ส่งไปบนสายอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งได้รับสัญญาณที่อ่อนกว่า ด้วยเหตุนี้ จึง มิใช่การเพียงการผลิตเคเบิลให้มีหลายชนิด เพื่อใช้กับเฉพาะเครือข่ายประเภทต่างๆ เท่านั้น หากแต่ยังต้องพิจารณาถึงความสามารถ ในการลดปัจจัยต่างๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อการสื่อสารข้อมูลอีกด้วย นอกจากมีการแบ่งเคเบิลเครือข่ายออกได้หลายชนิดแล้ว ยังมีการ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ อีกด้วย คือ สายทองแดง ( Copper cable ) สายใยแก้วนำแสง ( Fiber optic cable ) และไร้สาย ( Wire- less ) สายทองแดง ( Copper Cable ) เรารู้จักใช้สายทองแดงในการเป็นสื่อนำไฟฟ้ามาแล้วกว่า 100 ปี เนื่องจากทองแดงมีคุณสมบัติเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าที่ดีเยี่ยมและยังเหมาะสมที่จะ นำไปใช้ในการส่งข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วย ปัจจุบัน เคเบิลทองแดงที่ใช้กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2 ชนิดคือ 1. โคแอคเชียล ( Coaxial ) สายโคแอคเชียล คือ โคแอค ( Coax ) เป็นสายทองแดงที่ใช้กันมากในเครือข่ายคอมพิวเตอร์มานานหลายปีโดยที่ สาย โคแอคเชียล มีลักษณะเป็นสายทองแดงเดี่ยวอยู่ตรงกลาง และล้อมรอบด้วยวัสดุที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนและชีลด์สายชนิดนี้ ยังอาจแบ่งย่อยลงไปได้อีกเป็น 2 ชนิด คือ 1.1 โคแอคเชียลหนา ( Thick coaxial ) มีสายทองแดงเดี่ยวอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยชั้นของฉนวนนั้นๆ หุ้มด้วย เส้นลวดถักเป็นชิลด์ ก่อนที่จะห่อหุ้มด้วยเปลือกนอกอีกครั้งหนึ่ง 1.2 โคแอคเชียลบาง ( Tbin coaxial ) มีความคล้ายคลึงกับสายที่ใช้นำสัญญาณเคเบิลทีวีมีลักษณะเป็นสายทองแดง เดี่ยว หรือแกนลวดถักอยู่ตรงกลางเช่นเดียวกัน แต่มีการลดทอนสัญญาณน้อย กว่า 2. สายคู่ตีเกลียว ( Twisted Pair ) ปัจจุบันสายคู่ตีเกลียว มีบทบาทอย่างมากและกำลังเข้ามาแทนที่สายโคแอคเชียลในงานต่างๆ รวมถึงแนวโน้มของ การเป็นสายทองแดงมาตรฐานที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์อีกด้วย ลักษณะของสายชนิดนี้คือ เป็นสายทองแดง เคลือบฉนวน 2 เส้นพันตีเกลียวไขว้รอบกันอีกครั้งหนึ่ง โดยอยู่ภายในเปลือกหุ้ม ( Jacket ) เดียวกัน จุดเด่น....ของการตีเกลียวสายคือ สามารถลดการรบกวน EMI, RFI และ NEXT ได้ นอกจากนี้ยิ่งมีการ ตีเกลียวสายภายในสายตีเกลียวต่างๆ มากเท่าใด จะยิ่งเป็นการเพิ่มความต้านทานต่อการรบกวนได้มากยิ่งขึ้น โดย ทั่วๆ ไปสายคู่ตีเกลียวที่ใช้งานกันส่วนใหญ่มีการตีเกลียว 6 รอบต่อนิ้ว สำหรับจำนวนของคู่สายตีเกลียวที่นำมารวมกันภายในเปลือกหุ้มเดียวกันนั้น มีตั้งแต่ 1 - 2,000 คู่สาย ( หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ งาน ) อย่างไรก็ดี ในกรณีของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่ใช้เคเบิลเป็นสายคู่ตีเกลียว จะใช้เพียง 4 คู่เท่านั้น โดยคู่หนึ่งใช้สำหรับส่งสัญญาณ ในขณะที่ใช้อีกคู่ หนึ่งในการรับสัญญาณ ส่วนอีก 2 คู่ที่เหลือ เก็บไว้ใช้งานในอนาคต สายคู่ตีเกลียว อาจแบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ชนิด คือ 2.1 สายคู่ตีเกลียวมีชีลด์ ( Shielded Twisted Pair ) หรือ STP มีการชีลด์ด้วยฟอยล์อยู่รอบเปลือกหุ้ม ซึ่งช่วยลดการรบกวนต่างๆ ลงได้อย่างมาก 2.2 สายคู่ตีเกลียวไม่มีชีลด์ ( Unshielded Twisted Pair ) หรือ UTP เป็นสายที่ไม่มีการชีลด์ใดๆ จึงอาจเกิดการรบกวนได้ง่าย ประเภทของเคเบิล ( Cable Categories ) เคเบิลชนิด UTP เป็นสายที่มีการพัฒนาขึ้นตามมาตรฐานซึ่งพัฒนาขึ้นโดย สมาคมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Industries Association ) หรือ EIA และสมาคมอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ( Telecommunication Industries association ) TIA มาตรฐานเหล่านี้ ( ซึ่งมีชื่อเรียกว่า EIA/TIA 568 ) แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ( Category ) ใหญ่ๆ คือ ประเภท 1 ( Cat.-1 ) - ใช้เฉพาะกับการสื่อสารโทรศัพท์เท่านั้น มิได้ใช้กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประเภท 2 ( Cat.-2 ) - มี 4 คู่สาย และสามารถใช้กับการส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ที่ความเร็วสูงถึง 4 Mbps ประเภท 3 ( Cat.-3 ) - สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงขึ้นถึง 10 Mbps ด้วยคู่สาย 4 คู่ ประเภท 4 ( Cat.-4 ) - มี 4 คู่สาย และสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 16 Mbps ประเภท 5 ( Cat.-5 ) - เป็นสายที่มีอัตราสูงที่สุดของ UTP สามารถส่งข้อมูลบนเครือข่ายได้เร็วถึง 100 Mbps บนคู่สาย 4 คู่ สายใยแก้วนำแสง ( Fiber optic cable ) สายโคแอคเชียลและสายคู่ตีเกลียวที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น มีสายทองแดงเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลาง เพื่อทำหน้าในการนำกระแสไฟฟ้า ส่วนในกรณีสายใน แก้วนำแสงนั้นมีความแตกต่างกันมากทีเดียว สายใยแก้วนำแสงใช้แท่งแก้วที่มีลักษณะทรงกระบอกอยู่ตรงกลางแทนที่ทองแดง และแทนที่จะทำการส่งสัญญาณ ไฟฟ้าแต่สายใยแก้วนำแสงใช้วิธีการส่งอิมพัลซ์แสง ( Light impulse ) ไปแทน สายใยแก้วนำแสงประกอบด้วยเส้นแก้วที่มีความบางมาก เรียกว่า Core มีความหนาประมาณเส้นผมมนุษย์อยู่ตรงกลางของสาย และล้อมรอบด้วยแท่งแก้ว ในส่วนที่เรียกว่า Cladding ทั้งนี้ทั้ง core และ cladding จะถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกนอกเพื่อการป้องกัน เมื่ออธิบายเกี่ยวกับคุณสมบัติของสายใยแก้วนำแสงแล้วปกติ มักแสดงด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ core ส่วนด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของ cladding โดยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมีหน่วยวัดเป็น " ไมครอน " ( Microns ) ซึ่ง มีค่าเท่ากับ ประมาณ 1/25,000 นิ้ว สายใยแก้วนำแสง อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ 1. ซิงเกิล โหมด ( single mode ) เป็นสายที่มีขนาดของ core เล็กนิยมใช้กับการส่งข้อมูลเป็นระยะทางไกลๆ ปกติใช้แหล่งกำเนิดแสง ( Light source ) ที่สร้างด้วยเลเซอร์เพื่อส่งแสงเข้าไปภายในสาย ซึ่งมีลักษณะการส่องไฟฉายเข้าไปภายในท่อกลวง และจากการที่ใช้ แหล่งกำเนิดแสงเพียงชุดเดียว ทำให้แต่ละครั้งสามารถส่งสัญญาณได้เพียงชุดเดียวด้วยสายใยแก้วนำแสงชนิดนี้ 2. มัลติโหมด ( Multimode ) สามารถส่งสัญญาณแสงได้พร้อมๆ กันหลายชุด โดยทั่วๆ ไปแสงที่ใช้งานนั้นกำเนิดด้วยไดโอดเปล่งแสง ( Light Emitting Diode ) หรือ LED แทนที่จะใช้เลเซอร์ ในแต่ละครั้งที่มีการส่องแสงเข้าไปนั้นจะมีมุมที่แตกต่างกันและมีการสะท้อนออก จากผิวของ core ในกรณีของสายใยแก้วนำแสงชนิดมัลติโหมดนั้นระยะทางที่แสงสามารถเดินทางไปได้น้อยกว่าชนิดซิงเกิลโหมด เนื่องจากการลดทอนสัญญาณที่เกิดจาก การสะท้อนออกจากผิวของ core อย่างไรก็ดีกรณีมัลติโหมดมีประโยชน์ตรงที่สามารถส่งสัญญาณได้หลายๆ ชุดในคราวเดียวกัน ซึ่งปัจจัยนี้ทำให้มีการใช้สายชนิด มัลติโหมดกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์มากขึ้น ข้อดี...ของการใช้สายใยแก้วนำแสงแทนสายทองแดง มีหลากหลายประการ เช่น การรบกวน EMI,RFI และ NEXT ไม่มีผลกระทบ และยังมีการลดทอน สัญญาณน้อยมากเมื่อใช้สายแบบ ซิงเกิลโหมด แต่มี ข้อเสีย...คือ สายใยแก้วนำแสงอาจเสียหายได้ง่าย ไร้สาย ( wireless ) ในการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นบางครั้งมีความยุ่งยากที่จะวางสายชนิดและขนาดต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ทำให้ต้องใช้ การต่อเชื่อมเครือข่ายในลักษณะที่เป็น " การสื่อสัญญาณไร้สาย " ( wireless transmission ) แนวคิดของการสื่อสัญญาณไร้สายคือการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์เครือข่าย โดยไม่ต้องมีการวางสาย ด้วยเหตุนี้คอมพิวเตอร์เครือข่ายแต่ละเครื่องจำเป็นต้องมีอุปกรณ์อย่างหนึ่งต่อเพิ่มเข้ามาพร้อมกับสายอากาศเพื่อใช้ในการส่งและรับ สัญญาณ โดยทั่วๆ ไปสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีการใช้การสื่อสัญญาณไร้สาย 2 รูปแบบคือ
อุปกรณ์ที่ใช้มีอยู่เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
คือ....
ปัจจุบันระบบสารสนเทศในแต่ละองค์กร จะเป็นลักษณะของโครงข่ายโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
หรือพีซี (Personal Computer)
ที่อยู่บน
ข้อควรจะคำนึงถึงของผู้ดูแลระบบ คือ การให้ไฟร์วอลล์ทำงานตรวจอย่างละเอียด จะมีผลทำให้การทำงานของระบบช้าลงนอกจากจะคอยตรวจจับ |