บทนำ
       
       
                            
      ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เรียกกันว่ายุคนี้คือ
      ยุคดิจิตอล
      ระบบการตลาดก็เช่นเดียวกัน
      ผลจากเทคโนโลยีทำให้ระบบการ 
      ตลาดเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
      การพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
      ทำให้การตลาดต้องปรับตัวให้ทันกับระบบการค้า
      บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 
      เพื่อเสนอแนวคิดทางการตลาดอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า
      Electronic Marketing หรือ E-Marketing
      เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความแตกต่างระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิม 
      ( Traditional Marketing )
      กับการตลาดแบบอิเล็กทรอนิคส์
      ทั้งทางด้านแนวคิด
      ลูกค้า
      สินค้า
      และบริการ
      และกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ 
       
                            
      เนื่องจาการใช้อิเล็กทรอนิคส์เป็นเครื่องมือทางการพาณิชย์มีหลายรูปแบบ
      เช่น
      อินเตอร์เน็ต
      โทรทัศน์
      โทรศัพท์มือถือ
      และโทรสาร
      เป็นต้น บท 
      ความนี้จะกล่าวถึงการตลาดอิเล็กทรอนิคส์ทางอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก
      เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้กันมากที่สุด
      ซึ่งอาจจะเรียกว่า
      " Online Marketing " หรือ " Web 
      Marketing " ก็ได้
      ประชากรบนอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่า
      " Netizen "
      มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
      จากการสำรวจของ
      www.nua.ie 
      ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคม 
      ค.ศ. 2000
      พบว่ามีประชากรอยู่
      332.73
      ล้านคนทั่วโลก
      ประชากรเหล่านี้แยกตามทวีปได้ดังนี้ 
       
      
      
        
           | 
          แอฟริกา 
            เอเซีย/แปซิฟิก 
            ยุโรป 
            ตะวันออกกลาง 
            แคนาดาและอเมริกา 
            ละตินอเมริกา 
            สำหรับประเทศไทยมีประชากรอินเตอร์เน็ตอยู่ประมาณ
            1 ล้านคน | 
                2.77 
                75.50 
                91.82 
                  1.90 
              147.48 
                13.19 | 
            
               ล้านคน 
                 
            ล้านคน 
                 
            ล้านคน 
                 
            ล้านคน 
                 
            ล้านคน 
                 
            ล้านคน | 
           | 
         
       
      นิยามของการตลาดอิเล็กทรอนิคส์
       
       
                           
      การตลาดอิเล็กทรอนิคส์
      หมายถึง
      การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์
      เช่น
      คอมพิวเตอร์
      เป็นเครื่องมือในการดำเนิน 
      กิจกรรมทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมาย
      เป็นกิจกรรมที่เป็นการสื่อสาร
      2 ทาง
      และกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถติดต่อกับผู้บรโภคได้ทั่วโลกและตลอดเวลา 
       
      ลักษณะพิเศษของการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์
       
       
                          
      1. 
      ตลาดเป็นตลาดแบบเจาะจง
      ( Niche Market )
      ลูกค้ามาที่เว็บไซต์มีจุดมุ่งหมายจะซื้อสินค้าที่เขาอยากได้
      เช่น
      ผู้ต้องการซื้อรองเท้าก็จะเข้ามาดูเว็บ 
                              
      ที่ขายรองเท้า 
                         
      2. 
      เป็นการแบ่งส่วนตลาดเชิงพฤติกรรม
      ( Behavioral Segmentation )
      การจัดกลุ่มลูกค้าพิจารณาจากความสนใจคุณค่าที่ลูกค้าให้ติดต่อสินค้าหรือ 
                              
      บริการใดบริการหนึ่ง
      และวิถีชีวิตของลูกค้า
      ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งกำหนดพฤติกรรมของลูกค้า 
                         
      3. 
      เป็นการตลาดแบบตัวต่อตัว
      ( Personalize Marketing / P - marketing )
      ลูกค้าสามารถกำหนดรูปแบบของสินค้าและบริการได้ตามความต้องการ 
                              
      ซึ่งอาจจะแตกต่างกับผู้อื่น
      เช่น www.ivillege.com
      
      เสนอเมนูอาหารให้แม่บ้านเลือกโดยให้แม่บ้านเลือกประเภทของวัตถุดิบ
      และระยะเวลาใน 
                              
      การประกอบอาหารเอง
      แม่บ้านก็จะได้เมนูอาหารพร้อมวิธีการปรุง
       
                         
      4. 
      ลูกค้ากระจายอยู่ทั่วโลก
      เพราะระบบอินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก
      ทำให้ตลาดกว้างใหญ่ไพศาล 
                         
      5. 
      ทำธุรกิจได้ตลอดเวลา
      ผู้ขายสามารถเปิดร้านขายได้
      365 วัน 24 ชม.
      โดยมาตรฐานคงที่
      ซึ่งคุณลักษณะข้อนี้ได้เปรียบกับการค้าแบบดั้งเดิม
      ซึ่ง 
                              
      บุคลากรต้องการพักผ่อน
      ถ้าจะขยาย 24
      ชั่วโมง
      ต้องใช้พนักงานขายถึง
      2-3 คน 
                         
      6. 
      ข้อมูลของสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
      เพราะผู้บริโภคจะรู้จักและเกิดความรู้ในสินค้า
      ( Product Knowledge ) 
                              
      จากข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์
      เขาไม่มีพนักงานขายคอยแนะนำ 
                         
      7. 
      ธุรกิจออนไลน์เป็นกิจกรรมทางการตลาดแบบผสม
      บนเว็บไซต์การโฆษณาประชาสัมพันธ์ขาย
      การชำระเงินและกิจกรรมอื่นๆ
      ที่ทำให้เกิดซื้อขาย 
                              
      สินค้า
      อยู่รวมกันในเว็บไซต์  
                         
      8. 
      เป็นการสื่อสาร
      2 ทาง
      ผู้ซื้อกับผู้ขายสามารถโต้ตอบกันได้ทันที 
                         
      9. 
      เป็นการดำเนินธุรกิจด้วยต้นทุนต่ำ
      เพราะใช้บุคลากรจำนวนน้อย
      การสื่อสารการตลาดทำได้รวดเร็วและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
      ซึ่งถ้าเป็นการ 
                              
      ตลาดแบบดั้งเดิมการจัดทำแค็ตตาล็อก
      หรือชิ้นงานโฆษณาจะต้องใช้เวลานาน
      และใช้งบประมาณสูง
      แต่ในระบบอิเล็กทรอนิคส์ผู้ขายสามารถจัด 
                              
      ทำได้เร็วและราคาถูก
      นอกจากนี้ธุรกิจแบบนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินถาวรที่ราคาสูง
      เช่น
      สถานที่ทำงาน
      อุปกรณ์สำนังาน
      เพราะติดต่อกับ 
                              
      ลูกค้าบนจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น 
                       
      10. 
      สินค้าบางประเภทจะถูกจัดส่งให้ลูกค้าได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
      เช่น
      การดาวน์โหลดเพลง
      หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 
          
       
      ความแตกต่างระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิม
      ( Traditional
      Marketing ) กับการตลาดอิเล็กทรอนิคส์ 
      ( Electronic
      Marketing ) 
       
                 
      ถ้าพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิมและการตลาดอิเล็กทรอนิคส์
      พอสรุปได้ดังตารางข้างล่างนี้ 
                      
       
      
       
        
        
          
            |        
              ปัจจัยทางการตลาด | 
                        
              การตลาดแบบดั้งเดิม | 
                        
              การตลาดอิเล็กทรอนิคส์ | 
           
          
              
              ลูกค้า 
               
               
               | 
              
              หลากหลาย 
               
               
               | 
              
              เฉพาะกลุ่มส่วนใหญ่มีความรู้ค่อนข้างสูงใน 
                
              ประเทศไทยเป็นคนในเมืองเป็นส่วนใหญ่ 
               
               | 
           
          
              
              การวิจัยตลาด 
               
               | 
              
              มักทำกับกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่ม 
               
               | 
              
              ทำกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง 
               
               | 
           
          
              
              การแบ่งส่วนตลาด 
               
               
               | 
              
              ใช้เกณฑ์สภาพภูมิศาสตร์
              และประชากรศาสตร์ 
                
              เป็นหลัก 
               
               | 
              
              ใช้เกณฑ์พฤติกรรมศาสตร์เป็นหลัก 
               
               
               | 
           
          
              
              ประเภทของสินค้า 
               
               
               
               | 
              
              แบ่งได้หลายแบบที่นิยมคือแบ่งตามพฤติกรรม 
                
              การซื้อคือ
              แบ่งเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค
              สินค้า 
                
              อุตสาหกรรมและบริการ 
               
               | 
              
              แบ่งตามวิธีการขนส่ง
              คือสินค้าที่ต้องใช้บริการ 
                
              การจัดส่งกับสินค้าที่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ต 
               
               
               | 
           
          
              
              สินค้า 
               
               
               | 
              
              บริษัทพัฒนาสินค้าแล้วทดสอบการยอมรับจาก 
                
              ผู้บริโภค 
               
               | 
              
              ส่วนมากเป็นการผลิตตามความต้องการของลูก 
                
              ค้าแต่ละราย
              มีความยืดหยุ่นสูง 
               
               | 
           
          
              
              ราคา 
               
               
               | 
              
              กำหนดโดยบริษัท 
               
               
               | 
              
              ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการที่ลูกค้าเลือกดังนั้น 
                
              ลูกค้าจึงเป็นผู้กำหนดราคา 
               
               | 
           
          
              
              การจัดการการขาย 
               
               
               
               | 
              
              ลูกค้าพิจารณาข้อมูลจากการนำเสนอของพนัก 
                
              งานขายหรือสื่อโฆษณาอื่นๆ 
               
               
               | 
              
              เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ 
                 ขาย
              ผู้ซื้อเป็นผู้เลือกข้อมูลตามความต้องการ 
                 ของตน 
               
               | 
           
          
              
              ช่องทางการจัดจำหน่าย 
               
               | 
              
              ขายผ่านคนกลาง
              หรือผ่านพนักงานขาย 
               
               | 
              
              ขายตรงไปยังผู้ซื้อ 
               
               | 
           
          
              
              การครอบคลุมเขตการขาย 
               
               | 
              
              คลอบคลุมเป็นบางพื้นที่ 
               
               | 
              
              สามารถขายได้ทุกที่ทั่วโลก 
               
               | 
           
          
              
              การสื่อสารการตลาด 
               
               
               
               | 
              
              ใช้ทั้งกลยุทธุ์ผลัก
              ( push strategy )
              และกลยุทธุ์ 
                 ดึง ( pull strategy )
              คือ
              โฆษณาทั้งคนกลางและ 
                
              ผู้บริโภค 
               
               | 
              
              ใช้กลยุทธุ์ดึง
              ( pull strategy )
              คือโฆษณาโดย 
                
              ตรงไปยังผู้บริโภค 
               
               
               | 
           
         
        
       
      หน่วยงานที่ถูกทดแทนจาการค้าบนเว็บไซต์ 
       
                        
      เนื่องจากการดำเนินงานธุรกิจบนเว็บไซต์เป็นการรวบรวมหน้าที่งานทางธุรกิจเกือบทั้งหมด
      ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานและอุปกรณ์ 
      ต่างๆ
      ที่เคยมีในการค้าแบบดั้งเดิม 
       
      
       
             
                                                     
      จากภาพจะเห็นว่ามีหน่วยงานและอุปกรณ์
      10
      รายการที่ถูกการค้าบนเว็บไซต์เข้าแทนที่     
       
       
       
      ประเภทของสินค้าและบริการ 
       
                           
      สินค้าและบริการที่นำเสนอขายทางอิเล็กทรอนิคส์
      แบ่งประเภทตามการขนส่ง
      ซึ่งแบ่งออกได้เป็น
      3 ประเภท คือ 
                                      
      1. 
      สินค้าที่จับต้องได้
      ( Hard Goods ) 
                                      
      2. 
      สินค้าที่จับต้องไม่ได้
      ( Soft Goods ) 
                                      
      3.  บริการ ( Service ) 
       
      สินค้าที่จับต้องได้
      ( Hard Goods ) 
       
                           
      เป็นสินค้าที่ผู้ขายต้องจัดส่งไปให้ผู้ซื้อ
      ถ้าผู้ขายขายสินค้าประเภทนี้จะต้องจัดหาบริษัทขนส่งสินค้า
      ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขการจัดส่งของแต่ 
      ละบริษัท
      อาทิเช่น
      การคำณวนค่าขนส่ง
      ประเภทของสินค้าที่รับขนส่ง
      ปริมาณการขนส่ง
      เป็นต้น
      เพราะบางบริษัทอาจไม่รับขนส่งสินค้าที่เน่าเสียหาย
      เช่น ดอกไม้ 
      นอกจากนี้บริษัทยังต้องจัดการเกี่ยวกับโกดังสินค้าเพราะต้องสต๊อกสินค้าเอาไว้
      เพื่อเตรียมขาย
      อเมซอน
      ร้านหนังสือบนเว็บรายใหญ่
      ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
      ได้นำ 
      เสนอจุดขายจุดหนึ่งคือ
      การจัดส่งที่รวดเร็ว
      ซึ่งทำให้บริษัทต้องสำรองหนังสือไว้ในคลังสินค้าเป็นจำนวนมาก
      การจัดส่งให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วเป็นจุดขายที่ดี 
      แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อนในด้านค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องเสียไปในการจัดเก็บสินค้า 
       
      สินค้าที่จับต้องไม่ได้
      ( Soft Goods) 
       
                            
      เป็นสินค้าที่ผู้ขายไม่จำเป็นต้องจัดส่งให้ผู้ซื้อเพราะเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อสามารถดึงหรือที่เรียกว่า
      ดาวน์โหลดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ขายมาเข้า 
      เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ซื้อ
      สินค้ากลุ่มนี้ได้แก่
      โปรแกรมคอมพิวเตอร์
      ข้อมูลประเภทต่างๆ
      และเพลง
      เป็นต้น
      การขายสินค้าประเภทนี้ใช้เงินลงทุนต่ำกว่า 
      ประเภทแรก
      เพราะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและงานได้หลายรายการ
      อาทิเช่น
      ค่าก่อสร้างหรือเช่าโกดังเก็บสินค้า
      เงินลงทุนในสินค้าคงคลัง
      และค่าใช้จ่ายใน 
      การจัดส่งสินค้า
      เป็นต้น
      แต่ผู้ขายสินค้าประเภทนี้จะต้องลงทุนในเทคโนโลยี
      ซึ่งบางครั้งจะต้องให้ผู้ซื้อดาวน์โหลดโปรแกรมบางโปรแกรมจึงจะสามารถใช้บริการ 
      ของผู้ขายได้
       
       
      บริการ
      ( Service ) 
       
                            
      เป็นบริการที่ผู้ขายจัดขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้เข้ามาเยี่ยมเว็บไซต์
      โดยไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการ
      บริการที่เสนออาจเป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับ 
      อินเตอร์เน็ต
      เช่น
      บริการของอินเตอร์เน็ตเซอร์วิสโพรไวด์เดอร์
      ( Internet service provider-ISP )
      ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการกับเจ้าของร้านค้าหรือบุคคลทั่วไปใน 
      การจับจองเนื้อที่ของเว็บไซต์เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์
      หรือบางบริการอาจเป็นบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตเช่น
      เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์รวมของข้อมูล 
      ข่าวสารที่เรียกว่า
      พอร์ทอล
      ไซต์ ( Portal site )
      ซึ่งให้บริการในการค้นหาข้อมูลซึ่งเรียกว่า
      เสริซ์เอนจิ้น
      ( Search engine )
      ผู้ต้องการข้อมูลไม่ว่าจะเป็นข้อมูลใดๆ 
      สามารถค้นหาได้โดยพิมพ์คำที่มีความหมายถึงประเภทของข้อมูลที่ต้องการ
      ก็จะได้ข้อมูลตามที่ต้องการ 
       
                            
      อย่างไรก็ตาม
      ปัจจุบันเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะมีสินค้าและบริการครบทั้ง
      3 ประเภท
      เพื่อเป็นการให้บริการลูกค้าครบวงจร 
       
      ขั้นตอนของการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์ 
       
                           
      ในการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์ประกอบด้วยขั้นตอน
      10 ขั้นตอน
      เริ่มจากเจ้าของสินค้าเสนอขายสินค้าหรือบริการ
      จนกระทั่งลูกค้าซื้อสินค้าและผู้ขาย 
      รับเงิน
      ขั้นตอนของการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์แสดงได้ดังนี้ 
       
       
      
       
       
                            
      จากภาพ
      จะเห็นว่าขบวนการจะเป็นดังนี้ 
                            
      ขั้นตอนที่
      
      1      ผู้ขายจัดหาสินค้าแล้วเสนอขายต่อผู้บริโภคทางอินเตอร์เน็ต  
       
                            
      ขั้นตอนที่
      
      2      ผู้บริโภคใช้อินเตอร์เน็ตเห็นข้อมูลของสินค้า 
                            
      ขั้นตอนที่
      
      3      เมื่อผู้บริโภคเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ
      แล้ว
      ตกลงตัดสินใจซื้อจากผู้ขาย 
                            
      ขั้นตอนที่
      4      เมื่อผู้บริโภคสั่งซื้อสินค้าโดยผ่านบัตรเครดิตหรือบริการอื่นของธนาคาร
      เช่นเช็ค
      ส่วนใหญ่จะเป็นการตัดบัญชีผ่านบัตรเครดิต 
                            
      ขั้นตอนที่
      5      เมื่อธนาคารตรวจสอบเครดิตของผู้ซื้อแล้วก็จะส่งข้อมูลเข้ามาในอินเตอร์เน็ต 
                            
      ขั้นตอนที่
       6      ผู้ขายได้รับทราบข้อมูลจากธนาคารก็จัดเตรียมสินค้าตามที่ผู้ซื้อต้องการ 
                            
      ขั้นตอนที่
      7      ผู้ขายทำการเลือกบริษัทขนส่ง
      แล้วเตรียมสินค้าให้พร้อมสำหรับการขนส่ง
      แล้วส่งไปบริษัทขนส่ง
      หรือบริษัทขนส่งมารับสินค้า 
                                                     แล้วแต่กรณี 
                            
      ขั้นตอนที่
      8      บริษัทขนส่งจัดส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อพร้อมเก็บค่าธรรมเนียม
      /
      ภาษีแล้วแต่กรณี 
                            
      ขั้นตอนที่
      9      ผู้ซื้อจ่ายเงินโดยธนาคารหักบัญชีของผู้ซื้อ 
                            
      ขั้นตอนที่
      10    ธนาคารจ่ายเงินให้ผู้ขาย    
       
      เครื่องมือหลักๆ
      ในการทำตลาดอิเล็กทรอนิคส์ 
             
      1. เวิลด์ ไวด์
      เว็บ ( www ) คือ
      การจัดทำเว็บไซต์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดเช่น
      เพื่อขายสินค้า
      เพื่อประชาสัมพันธ์บริษัท 
              2.
      อีเมล์ ( E-mail ) 
      หรือจดหมายอิเล็กทรอนิคส์
      ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการส่งข้อมูลข่าวสารไปยังลูกค้า
      หรือบุคคลที่ตัดปะด้วย 
              3.
      เมล์ลิ่งลิสต์
      ( Mailing list ) คือ
      กลุ่มของบุคคลที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน
      ซึ่งในด้านการตลาดถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก
      เพราะเป็นกลุ่มเป้าหมาย 
                                                       
      ทางการตลาด
      เนื่องจากแต่ละกลุ่มประกอบด้วยคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน 
              4.
      เว็บบอร์ด ( Web
      board ) คือ
      กระดานข่าวที่ให้ผู้คนเข้ามาเสนอแนวความคิดหรือพูดคุยกัน
      ในด้านการตลาดสามารถใช้เว็บบอร์ดเป็นที่สร้างกระแสได้
      ซึ่ง 
                                                       
      จะทำให้ผู้คนรู้จักหรือทราบในเรื่องที่เราต้องการสื่อสารซึ่งถือเป็นสื่อ
      ( Medium )
      ชนิดหนึ่งในการประชาสัมพันธ์ 
       
      ประเภทของการค้าบนอินเตอร์เน็ต 
             
      ผู้ประกอบการอินเตอร์เน็ตมีกลุ่มเป้าหมายอยู่หลักๆ
      อยู่ 2 กลุ่ม
      คือ
      กลุ่มที่เป็นธุรกิจ
      และกลุ่มที่เป็นผู้บริโภค
      ลักษณะและกลยุทธ์การตลาดหลักๆ
      เป็นดังนี้ 
       
              1.
      ธุรกิจกับธุกิจ
      ( Business to
      business หรือ
      B to B )
      เป็นการติดต่อธุรกิจระหว่างบริษัทกับบริษัท
      เช่นบริษัทผู้ผลิตรองเท้าในประเทศไทยกับ 
                  
      บริษัทตัวแทนจำหน่าย
      ในประเทศสหรัฐอเมริกา
      ซึ่งจะสั่งซื้อรองเท้าเพื่อไปขายต่อผู้ค้าปลีกหรือผู้บริโภค
      กรณีนี้ผู้ซื้อมักจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบของ 
                  
      รองเท้าให้ผู้ผลิตในประเทศผลิต
      เช่นเดียวกับการตลาดแบบดั้งเดิม
      ลักษณะหลักๆ
      ของตลาดธุรกิจมีดังนี้ 
                   - 
      มีจำนวนผู้ซื้อและรายการคำสั่งซื้อน้อยราย 
                  
      - 
      แต่ละคำสั่งซื้อมีปริมาณสินค้าเป็นจำนวนมาก 
                  
      - 
      การจัดส่งสินค้าเป็นปริมาณมากต้องใช้บริษัทจัดส่งที่มีความชำนาญ 
                  
      - 
      ราคาจะเป็นราคาขายส่งเพื่อให้ผู้ซื้อทางธุรกิจสามารถตั้งราคาขายปลีกให้แข่งขันได้ 
       
      กลยุทธ์การตลาดหลักๆมีดังนี้ 
             
      1. 
      ให้ข้อมูลแก่ลูกค้ามากที่สุด
      เพราะผู้ซื้อทางธุรกิจต้องการละเอียดมากเช่น
      ผู้ผลิตผลิตรองเท้าได้กี่แบบ
      ความสามารถในการปรับเปลี่ยนการผลิต
      ประเภท 
                  
      ของวัสดุที่ใช้ผลิต
      ขนาด
      ราคาตามปริมาณการสั่งซื้อ
      การขนส่ง
      ธนาคารที่ติดต่อ
      ค่าธรรมเนียม
      และภาษีอากรของแต่ละประเทศ
      และบริการอื่นๆ
       
                  
      ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ผู้ซื้อทางธุรกิจต้องนำมาเปรียบเทียบกับผู้ผลิตรายอื่น
      แล้วนำมาคำนวณหาผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับ 
       
              2. 
      ผู้ขายใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
      โดยปรกติผู้ซื้อทางธุรกิจมักได้รับอนุญาตให้รหัสผ่านเพื่อเข้าไปดูข้อมูลทางการค้าใน 
                  
      ระดับที่ลึกกว่าลูกค้าทั่วไป 
       
              3. 
      ทำวิจัยตลาดบนเว็บไซต์
      เพื่อทราบความต้องการของลูกค้า
      และเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการตลาดต่อไป 
       
              4. 
      ใช้ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันที่เรียกว่า
      " Electronic data interchange หรือ EDI "
      ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อสื่อสาร 
                  
      กันได้อย่างรวดเร็ว  เช่นระบบสต็อกสินค้า
      เมื่อผู้บริโภค
      ซึ่งเป็นผู้ซื้อคนสุดท้าย
      ซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า
      และทำให้จำนวนสินค้าคงเหลือในคลังสินค้า 
                  
      ของห้างสรรพสินค้าถึงจุดที่ต้องสั่งซื้อใหม่
      ข้อมูลนี้จะถูกส่งจากห้างสรรพสินค้าไปยังบริษัทผู้ขาย
      ทำให้บริษัทผู้ขายได้ข้อมูลการสั่งซื้ออย่างรวดเร็วและส่ง 
                  
      สินค้าได้ทันเวลา
      ทำให้ทั้ง 2
      ฝ่ายได้ผลประโยชน์เต็มที่จากการดำเนินธุรกิจ 
       
              2.
      ธุรกิจกับผู้บริโภค
      ( Business to
      consumer
      หรือ B
      to C ) เป็นการติดต่อธุรกิจระหว่างผู้ผลิตหรือผู้ขายกับผู้ซื้อที่เป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย  
                   (
      Consumer )
      ซึ่งซื้อเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
      เช่น
      ผู้ซื้อในประเทศไทย
      สั่งซื้อหนังสือจาก
      www.amazon.com  
       
      ลักษณะหลักๆ
      ของตลาดผู้บริโภคมีดังนี้ 
             
      - 
      มีจำนวนผู้ซื้อหรือผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์มากราย 
              - 
      แต่ละคำสั่งซื้อมีปริมาณน้อย 
              - 
      เสนอขายสินค้าให้ผู้ซื้อแต่ละรายตามความต้องการของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน 
              - 
      ผู้ซื้อนำสินค้าไปใช้ในการอุปโภคหรือบริโภคมิได้นำไปขายต่อ 
       
      กลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ 
           
      1.
      การกำหนดตลาดเป้าหมาย
      และการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์
      ( Targeting
      and positioning )
      ต้องสอดคล้องกัน
      เช่น www.nike.com 
                  
      สร้างขึ้นมาเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักกีฬา
      ตำแหน่งผลิตภัณฑ์จึงเป็นศูนย์รวมของเครื่องกีฬา 
       
              2.
      การตั้งชื่อ
      ( Branding ) การตั้งชื่อในการตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์จะต้องคำนึงถึงความง่ายถึงการค้นหาของผู้ซื้อเป็นหลัก
      ดังนั้นการตั้งชื่อจะต้องบ่ง 
                  
      บอกสินค้า
      และต้องใช้คำศัพท์ที่เป็นสากล 
           
              3.
      ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
      ( Interactivity
      ) คือต้องสามารถสื่อสาร
      2 ทาง
      ผู้ขายและผู้ซื้อต้องสามารถโต้ตอบกันได้
      และต้องรวดเร็ว 
       
              4.
      ข้อมูลของสินค้า
      ( Product
      information ) เป็นปัจจัยที่สำคัญ
      เพราะการขายบนเว็บจะต้องทำเว็บให้ทำหน้าที่เหมือนโชว์รูมพนักงาน
      และพนักงาน 
                  
      บริการ
      ไม่มีพนักงานขายคอยแนะนำสินค้าไม่มีแค็ตตาล๊อกสินค้าให้อ่านและไม่มีคนเชียร์ให้ซื้อสินค้า
      ดังนั้น "
      ข้อมูล "
      จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการตัด 
                  
      สินใจซื้อของลูกค้า 
       
              5.
      การแนะนำสินค้า
      ( Product
      recommendation ) เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญกลยุทธ์หนึ่ง
      เพื่อช่วยเร่งเร้าการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เร็วขึ้น
      เพราะบนเว็บ 
                  
      ไม่มีพนักงานทำหน้าที่ปิดการขาย
      www.clinique.com
      ซึ่งเสนอขายเครื่องสำอางค์คลีนิกจะทำการวิจัยลักษณะผิวพรรณของลูกค้าก่อน
      โดยให้ลูกค้ากรอก 
                  
      ข้อมูลส่วนตัว
      แล้วสรุปประเภทของผิวของลูกค้า
      และเมื่อลูกค้าต้องการสินค้าประเภทใด
      ก็จะแนะนำสินค้าให้ตรงกับลักษณะผิวของลูกค้า 
       
              6.
      สร้างจุดเด่นให้กับเว็บไซต์
      ( web site
      differentiation )  เนื่องจากเว็บไซต์มีอยู่เกือบ
      10 ล้านเว็บ
      ดังนั้นการสร้างความแตกต่างจึงเป็นกลยุทธ์ 
                  หนึ่งที่สำคัญ
      www.rotten.com
      เป็นเว็บที่รวบรวมสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว
      ก็สามารถสร้างความฮือฮาและเรียกร้องความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่ชอบเรื่อง 
                 
      ราวเหล่านี้ 
       
              7.
      เพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า
      ( Enchancing to product )
      ด้วยการปรับปรุงและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
      หาบริการใหม่ๆ
      นำเสนอแก่ลูกค้า 
        
              8.
      พยายามกระตุ้นให้ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บมาซ้ำบ่อยๆ
      ( Encouraging repeated visits ) กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
      เพราะการที่มีผู้มาเยี่ยมชม 
                  
      บ่อย
      เปรียบเสมือนร้านค้าหรือธุรกิจที่มีผู้คนพลุกพล่าน
      ซึ่งทำให้โอกาสในการขายสินค้าและบริการสูงตามไปด้วย
      และนอกจากนี้การที่มีผู้เข้าเยี่ยมชม 
                  
      ทำให้เจ้าของเว็บสามารถกำหนดราคาค่าโฆษณาได้สูง
      เว็บที่มีคนมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากส่วนใหญ่จะเป็นเว็บที่เป็นศูนย์รวมข้อมูล
      ( Portal web site ) 
                  
      อาทิ เช่น www.aol.com
      , www.yahoo.com
      และเว็บอื่นๆ
      อีกมากมาย
      การให้เข้ามาเยี่ยมชมซ้ำทำได้หลากหลายวิธี
      เช่น www.garfield.com
      มีรูปการ์ตูน 
                  
      การ์ฟิลด์ให้พิมพ์เพื่อฝึกหัดระบายสี
      โดยเปลี่ยนรูปทุก
      2 สัปดาห์ www.mcdang.com 
      ซึ่งเป็นเว็บของรายการโทรทัศน์ที่มีเรตติ้งสูง
      ดำเนินรายการโดย 
                  
      มล.ศิริเฉลิม
      สวัสดิวัฒน์
      หรือรู้จักกันในนาม
      " หมึกแดง "
      จะมีรายการอาหารที่คุณหมึกแดงนำเสนอในรายการโทรทัศน์ซึ่งมีอยู่หลายสถานีในหนึ่งสัปดาห์ 
                  
      และทุกสัปดาห์ผู้สนใจจะต้องเข้ามาเยี่ยมชมเพื่อพิมพ์รายการอาหาร
      ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมและวิธีการปรุง 
       
              9.
      สร้างเว็บให้เป็นแหล่งชุมชน
      ( Building community ) กลยุทธ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือ
      สร้างเว็บให้เป็นศูนย์รวมของผู้คนเพื่อให้มีผู้เข้าเยี่ยมชม 
                  
      อยู่ตลอดเวลาและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
      www.pantip.com 
      เป็นเว็บที่แบ่งชุมชนตามความสนใจในเว็บบอร์ด
      (
      เป็นกระดานข่าวที่ให้ผู้คนเข้าไปเสนอ 
                  
      ความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
      ) เช่น
      กลุ่มรัชดา
      เป็นชุมชนของคนที่สนใจในเรื่องรถยนต์
      เครื่องเสียง
      และโทรศัพท์มือถือใครมีคำถามเรื่องเหล่านี้ 
                  
      ก็สามารถเขียนเข้าไปถามได้
      และสมาชิกผู้รู้จะเขียนเข้ามาตอบ
      การที่แต่ละกลุ่มมีสมาชิกสนใจในเรื่องเดียวกัน
      ในด้านการตลาดจัดว่าเป็นการแบ่งส่วน 
                  
      ตลาดมที่มีประสิทธิภาพมาก
      สมาชิกของแต่ละกลุ่มจะเข้าไปอ่านข้อมูลในกระดานข่าวอย่างสม่ำเสมอ
      นับเป็นการสร้างความซื่อสัตย์ต่อตรายี่ห้อ
      ( Brand 
                  
      loyalty ) ที่ดี 
          
            10.
      ตอบสนองความพึงพอใจลูกค้าให้มากที่สุด
      ( Customizing ) กลยุทธ์นี้อยู่ภายใต้แนวคิดว่าสินค้าหรือบริการบนเว็บไม่ใช่สินค้าทั่วไปที่วางขายอยู่ 
                  
      ตามท้องตลาด
      บริษัทท่องเที่ยวที่ขายบริการท่องเที่ยวผ่านเว็บจะต้องระลึกถึงการทำให้ลูกค้าสนุกกับโปรแกรมตลอดเวลา
      ดังนั้นจึงควรสอบถามความต้อง 
                  
      การของลูกค้า
      เช่น
      สถานที่
      อาหาร
      กิจกรรม
      ที่พัก
      และพาหนะเดินทางที่ลูกค้าชอบ
      แล้วจึงจัดรายการตามนั้น
      ซึ่งจะทำให้ลูกค้าพอใจสูงสุด
      และเป็นการ 
                  
      หลีกเลี่ยงการตัดราคาด้วย
      www.newsingapore.com
      ใช้กลยุทธ์นี้ 
       
            11.
      การส่งเสริมการขาย
      ( Sales promotion )
      เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ต้องพิจารณา
      อาจทำได้หลายรูปแบบเช่น
      การแจกตัวอย่างสินค้า
      ( Sampling ) ซึ่ง 
                  
      บริษัทขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์นิยมนำมาใช้
      การแจกคูปอง
      ลดราคาโรงภาพยนตร์อีจีวี
      มักจะให้ผู้เข้ามาที่เว็บพิมพ์คูปองส่วนลดราคาเพื่อใช้ในการ 
                  
      ซื้อบัตรชมภาพยนตร์
      www.alladvantage.com 
      ส่งเสริมการขายด้วยวิธีแจกเงินแก่ผู้เข้ามาในเว็บไซต์ 
      ถ้าใช้เวลานานก็จะได้เงินมาก
      และถ้าแนะนำ 
                  
      ผู้อื่นก็จะได้เงินค่าแนะนำด้วย
      เมื่อผู้ถูกแนะนำท่องเว็บนี้
      กลยุทธ์คล้ายกับกลยุทธ์การขายตรงแบบหลายชั้น
      ( Multi level marketing ) 
       
            12.
      การตลาดเชิงกิจกรรม
      ( Event marketing ) การตลาดเชิงกิจกรรมมักเป็นที่สนใจของผู้คนและมักจะบอกต่อๆ
      กันไป ( word of mouth marketing
      )    
                  
      ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว
      www.ourfirstime.com
      ที่เคยฮือฮาด้วยการแถลงข่าวจะจัดให้มีการถ่ายทอดสดกิจกรรมทางเพศของชายหญิง 
                  
      คู่หนึ่ง
      เคยสร้างความเกียวกราวมาแล้ว
      ผู้คนจดจำได้นานทางด้านการตลาดถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างความรู้จักเว็บ
      ( Brand awareness ) แต่ 
                  
      จะได้ทัศนะคติที่ดีต่อเว็บหรือไม่
      ขึ้นอยู่กับสังคมในแต่ละประเทศ
      อีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งนิยมใช้กันเพราะทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างรวดเร็วคือมีเกมให้เล่น 
                   www.madoo.com,
      www.catcha.co.th
      และอีกหลายๆ
      เว็บ
      ดังได้เพราะมีเกมทายที่ผิดของภาพเหมือน
      ( Photo hunt )
      ให้ผู้คนเข้ามาร่วมกิจกรรม 
       
            13.
      ใช้อีเมล์เป็นเครื่องมือในระบบการจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์
      ( CRM : Customer relationship management )
      เมื่อบริษัทมีข่าวสารหรือ 
                  
      โปรแกรมส่งเสริมการขายเฉพาะตัว
      สามารถใช้อีเมล์เป็นเครื่องมือ
      เพราะเป็นการตลาดทางตรง
      ซึ่งลูกค้ารายอื่นไม่จำเป็นต้องทราบ 
          
            14.
      สิ่งจูงใจอื่นๆ
      ( Other incentives )
      นอกจากกลยุทธ์ดังกล่าวแล้ว
      กลยุทธ์ที่นิยมใช้กันเพื่อจูงใจให้ผู้คนมาที่เว็บคือห้องสนทนา
      ( Chat )
      อิเล็กทรอนิกส์ 
                  
      โปสการ์ด,รายงานอากาศ,แผนที่เดินทางและข้อมูลอื่นๆ  
           
            15.
      ต่อเชื่อมกับเว็บอื่น
      ( Web linking ) ที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
      ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่ต้องเสียเวลาในการเปิดเว็บใหม่
      เป็นการทำเว็บให้เป็น 
                  
      ศูนย์รวมคล้ายๆ
      กับห้างสรรพสินค้าที่นำกลยุทธ์
      " One - Stop - shopping " มาใช้ 
       
            16.
      โฆษณาประชาสัมพันธ์ในเว็บที่เป็นที่นิยม
      เช่น www.yahoo.com
      เพราะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นจำนวนมาก 
       
             17.
      ส่งเสริมการขายนอกเว็บ
      ( Offine promotion )
      การที่จะทำเว็บให้เป็นที่รู้จัก
      ต้องสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร
      ( Integrated marketing  
                   
      communication )
      คือใช้สื่ออื่นๆ
      นอกเว็บด้วย
      เช่น
      การโฆษณา
      การประชาสัมพันธ์
      ผ่านสื่อต่างๆ 
       
      ประโยชน์ของการตลาดอิเล็กทรอนิคส์ 
                   
      การตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อและผู้ขายทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนที่ต่ำ
      ข้อดีของการตลาดแบบนี้พอสรุปได้ดังนี้ 
       
        
       
      สำหรับผู้ประกอบการ 
        
       
          
      1.
      ประหยัดเงิน
      เพราะเอกสารประกอบการขายเช่นแค็ตตาล็อค
      โบว์ชัวร์
      และเอกสารประกอบการขายอื่นๆ
      ไม่ต้องพิมพ์ในกระดาษทำให้ผลิตเอกสารได้ 
                 
      รวดเร็ว
      สวยงาม
      นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนเอกสารเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์ใหม่
      การจัดส่งก็ทำได้รวดเร็ว
      และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง 
                 
      เอกสาร
      เหตุผลเหล่านี้ทำให้ต้นทุนในการสื่อสารต่ำลง   
       
           2.
      ประหยัดเวลาและลดขั้นตอนทางการตลาด
      เนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาในการผลิตสื่อทั้งทางด้านการประสานงานกับบริษัทโฆษณาและการผลิตเอกสาร 
                 
      ลดขั้นตอนการใช้พนักงานในการเข้าพบลูกค้า
      ผู้ประกอบการสามารถเสนอข้อมูลให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
      และเมื่อลูกค้าต้องการข้อมูลเพิ่ม 
                 
      เติมหรือเฉพาะเจาะจงผู้ประกอบการก็สามารถจัดทำได้อย่างรวดเร็วและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 
       
            
      3.
      ผู้ขายสามารถกำหนดขบวนการซื้อได้
      เพราะการขายบนเว็บผู้ขายสามารถจัดขั้นตอนการจัดซื้อให้ลูกค้าดำเนินตามขั้นตอนที่กำหนดด้วยการอำนวย 
                 
      ความสะดวกในเรื่องของแบบฟอร์มและการกรอก
      เพียงลูกค้าคลิ๊กเม้าท์เท่านั้น
      ขบวนการในการซื้อก็จบลง
      ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า 
                 
      ได้อย่างรวดเร็ว
      และตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด 
       
             4.
      ผู้ขายสามารถให้ข้อมูลแก่ลูกค้าได้มากเท่าที่ลูกค้าต้องการและข้อมูลจะเป็นมาตรฐาน
      ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับการตลาดแบบดังเดิมที่ใช้พนักงานเป็น 
                 
      ผู้ให้ข้อมูล
      มาตรฐานของข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความเหนื่อยและอารมณ์ของพนักงาน 
        
             5.
      ตลาดกว้างใหญ่ไพศาล
      เพราะสามารถขายให้กับลูกค้าทั่วโลก
      ดังนั้นระยะทางและเวลาจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการขาย 
       
             6.
      กำจัดอุปสรรคในการขายสินค้าในบางประเทศเพราะสามารถขายให้กับทุกคนที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์
      กฎ ระเบียบ
      และข้อจำกัดต่างๆ
      ทางการค้า 
                 
      ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคในการตลาดแบบดั้งเดิมจะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
      โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ซื้อขายด้วยวิธีดาวน์โหลด 
         
             7.
      สามารถขายและสื่อสารได้ตลอดเวลาด้วยมาตรฐานเดียวกันตลอด
      365 วัน และ 24
      ชั่วโมง
      ซึ่งทำให้สามารถขายได้ตลอดเวลา    
        
           8.
      การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ทำได้กว้างขวาง
      เพราะสามารถเชื่อมโยงกับเว็บต่างๆ
      ได้
      ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลจากเว็บอื่นได้
      ทำให้เข้าถึงผู้ซื้อ 
                
      ได้มาก  
           
            
      9.
      ข้อมูลจากผู้ซื้อทำให้นักการตลาดปรับแผนและกลยุทธ์การตลาดได้อย่างรวดเร็ว
      ข้อเสนอแนะหรือข้อคิดเห็นของผู้ซื้อ
      จะเป็นประโยชน์ในการ 
                 
      ปรับปรุงสินค้า
      ราคา
      เงื่อนไขและกลยุทธ์การตลาดต่างๆ
      ได้ 
         
            10.
      ผู้ประกอบการสามารถสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งขันได้โดยการเข้าไปในเว็บของคู่แข่งก็จะทราบกลยุทธ์การตลาด
      ทำให้ 
                   สามารถปรับการตลาดได้อย่างรวดเร็ว 
       
         
      ข้อดีสำหรับลูกค้า 
        
       
             
      1.
      ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าและบริการได้ทั่วโลกทำให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด 
       
             2.
      ผู้ซื้อจ่ายเงินซื้อสินค้าน้อยลง
      เพราะผู้ขายไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางด้านคนกลาง
      นอกจากนี้ผู้ขายมักจะขายในราคาใกล้เคียงกับคู่แข่งขันเพราะผู้ซื้อ 
                
      สามารถเปรียบเทียบราคาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว 
       
             3.
      ผู้ซื้อประหยัดเวลาในการเลือกซื้อ
      เพราะสามารถหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและใกล้เคียงกับความเป็นจริงในการตลาดแบบดั้งเดิมผู้ซื้อต้องเดินทาง 
                 
      หลายแห่ง
      หรือต้องเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปยังสถานที่ขายสินค้า
      แม้ว่าถึงสถานที่ขายก็อาจมีสินค้าให้เปรียบเทียบได้ไม่ครบ
      แต่การเลือกซื้อบนเว็บ 
                 
      สามารถเปรียบเทียบสินค้าได้ครบและด้วยเทคโนโลยีสามารถทำให้สินค้าใกล้เคียงความความจริงมากที่สุด
      www.folksvagen.com 
      เป็นเว็บที่ลุกค้าที่ 
                
      เข้าไปดูสามารถเห็นรถยนต์ได้ทุกมุม
      แม้ทระทั่งภายในรถยนต์ 
       
      คุณสมบัติของนักการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ประสบความสำเร็จ 
               นักการตลาดที่ทำการค้าบนอินเตอร์เน็ต
      จะต้องมีคุณสมบัติ
      ดังนี้ 
       
              1.
      มีความคิดสร้างสรรค์ 
      เหมือนการตลาดทั่วไปที่นักการตลาดต้องตกแต่งหน้าร้านให้สามารถดึงดูดหรือเรียกร้องความสนใจ
      นักการตลาดจะต้องปรับเว็บ 
                   ให้เป็นที่น่าสนใจตลอดเวลา
      เพราะถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ลูกค้าเบื่อและเลิกสนใจเว็บ 
       
              2.
      เป็นผู้รู้จักพฤติกรรมของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
      จะต้องเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
      และรู้วิธีจูงใจลูกค้าให้เยี่ยมชมเว็บอย่างสม่ำเสมอ 
       
              3.
      เป็นผู้ไวต่อการเปลี่ยนแปลง
      เนื่องจากการตลาดบนเว็บเป็นการสื่อสาร
      2 ทาง
      ลูกค้าจะสามารถติดต่อกับผู้ขายได้ตลอดเวลา
      เช่นถามข้อมูลเกี่ยวกับ 
                  
      สินค้าหรือบริการ
      นักการตลาดจะต้องตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว 
       
              4.
      เป็นนักประสานสิบทิศ
      การที่จะบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
      และถูกต้องบริษัทต้องมีความพร้อมตลอดเวลาซึ่งนักการตลาดจะต้องทำงานร่วมกันกับลูกค้า 
                  
      เจ้าของสินค้า
      ฝ่ายผลิตบริษัทจัดส่ง
      และธุรกิจอื่นๆ
      ดังนั้นเขาจะต้องมีความสามารถประสานหน่วยงานหรือบบุคคลต่างๆ
      เหล่านี้ให้พร้อมในการบริการ 
       
              5.
      มีความเป็นมืออาชีพ
      ทำงานทุกอย่างด้วยประสิทธิภาพสูง
      แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี 
       
              6.
      เป็นผู้มีความกระตือรือร้น
      ต้องติดตามรายละเอียดของงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
      จึงต้องเป็นผู้มีพลังใจในการทำงานสูงมาก 
       
              7.
      มีวิสัยทัศน์
      ต้องเป็นผู้คาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ
      เพราะการตลาดนั้น
      เว็บมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก
      ในด้านลูกค้าซึ่งมีปริมาณเพิ่มมาก 
                 
      ขึ้นอย่างรวดเร็ว
      คู่แข่งขันซึ่งปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
      เทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง
      ดังนั้นนักการตลาดบนเว็บจะต้องเป็นผู้ที่ไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง  
                 
      และติดตาม  
       
      สาเหตุที่การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ไม่ประสบความสำเร็จ 
             
      แม้ว่าจะมีผู้ประกอบการใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือทางการค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและรวดเร็ว
      จำนวนผู้ประสบความสำเร็จกลับมีเป็นจำนวนน้อย
      เหล่านี้คือ 
      สาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์ไม่ประสบความสำเร็จ 
       
              1.
      ใช้สิ่งออนไลน์สิ่งเดียวในการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
      เช่นใช้โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ในเว็บของตนเอง
      และผ่านเว็บอื่นเท่านั้น
      ซึ่งเป็นการ 
                 
      สื่อสารเฉพาะกลุ่มที่รู้จักอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
      การที่ไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากอินเตอร์เน็ต
      ( Offline communication )
      และเข้าใจไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ไม่ได้ 
       
             
      2.
      ไม่ใช้เว็บไซต์อย่างแท้จริง
      บางธุรกิจเปิดเว็บไซต์ตามแฟชั่น
      ตัวอย่างที่ดีคือ
      Toys " R " Us
      ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกของเล่นที่ใหญ่ที่สุด
      และเป็นที่รู้จัก 
                 
      กันมากที่สุด
      ในระบบค้าปลีก
      แต่ในระบบอีคอมเมิร์สกลับพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าเมื่อเปรียบเทียบกับ
      E-toys
      เพราะในตอนเริ่มต้น
      บริษัทเปิดเว็บไซต์ 
                 
      โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้เป็นแคตตาล็อกออนไลน์เท่านั้น
      จึงจัดสรรงบประมาณและบุคลากรจำนวนน้อยมาก
      ซึ่งผิดกับ
      E-toys
      ซึ่งเอาจริงเอาจังใน 
                 
      เรื่องนี้ 
       
             3.
      ดำเนินงานโดยขาดความเป็นมืออาชีพ
      บุคลากรด้านต่างๆ
      ไม่สันทัดงานด้านอีคอมเมิร์ส 
      ขณะเดียวกันต้องรับผิดชอบงานในระบบการค้าแบบดั้งเดิม 
                
      ด้วย
      ทำให้ขาดทักษะและความชำนาญ 
       
             4.
      ไม่ปรับหรือปรับกลยุทธ์ช้าเกินไป
      การตลาดในระบบอีคอมเมิร์สจะต้องเป็นกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก
      เพราะการแข่งขันและเทคโนโลยีที่จะสนับสนุน 
                
      กลยุทธ์การตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
      ทำให้กลยุทธ์การตลาดบนเว็บล้าสมัยเร็วมาก
      ถ้าไม่หมั่นตรวจสอบประสิทธิผลของกลยุทธ์
      อาจทำให้กลยุทธ์ 
                
      เดิมล้าสมัย
      และสูญเสียลูกค้าในที่สุด 
       
             5.
      หลงกับเทคโนโลยีจนลืมความสำคัญของตลาด
      มักจะเป็นที่เข้าใจผิดว่าการสร้างเว็บจะต้องเพรียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีด้วยภาพเคลื่อนไหว
      เสียง และ 
                
      เทคนิคต่างๆ
      เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เข้ามาเยี่ยมชม
      เว็บที่มากด้วยเทคโนโลยีทำให้การเข้าเยี่ยมชมใช้เวลานานมาก
      ในการที่จะเรียกแต่ละหน้า 
                
      มาดู
      จึงเป็นสาเหตุให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไปเว็บอื่น
      เช่นเดียวกับรายการทีวีหรือโฆษณาทางทีวีที่ไม่น่าสนใจ
      ผู้ชมมักจะกดรีโมทคอนโทรลเพื่อเปลี่ยนช่องไป 
                
      ดูรายการที่ช่องอื่น
      นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่า
      ข้อมูลเป็นสิ่งที่ลูกค้าสนใจมากกว่าเทคโนโลยี 
       
             6.
      ใช้การตลาดแบบเหวี่ยงแห
      ( Mass marketing )
      แทนที่จะใช้การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม
      ( Segment หรือ niche marketing )
      หลายบริษัทเมื่อเปิดเว็บไซต์ 
                 
      ขึ้นมามักจะเริ่มต้นด้วยความพยายามที่จะทำให้จำนวนผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมให้มากที่สุด
      จึงบรรลุทุกสิ่งทุกอย่างในเว็บของตน
      จนทำให้ไม่มีกลุ่มเป้าหมาย 
                 
      ที่แน่ชัด
      ดังนั้นจึงควรที่จะเลือกกลุ่มเป้าหมายให้แน่ชัด
      แล้วนำเสนอสินค้าหรือบริการในแนวลึก
      ซึ่งตรงตามหลักการตลาดเฉพาะกลุ่ม
      ตัวอย่างเช่น 
                  www.timezone.com 
      เสนอขายเฉพาะข้อมูลระดับหรู
      เพื่อขายกลุ่มเป้าหมายระดับสูง
      ซึ่งเป็นเว็บหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในยอดขาย
      แม้ว่าจะมีผู้เยี่ยม 
                 
      ไม่มาก
      แต่ทุกคนที่เข้ามาคือ
      กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงทางการตลาด 
       
              7.
      อัดแน่นด้วยข้อมูล
      แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ไม่จำเป็นสำหรับลูกค้า
      เป็นข้อมูลที่ไม่ทำกำไรหรือก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดๆ
      ต่อบริษัท
      ซ้ำยังทำให้เกิดต้นทุน 
                 
      บางเว็บบรรจุผังองค์กร
      ( Organization Chat )
      และรายละเอียดทุกอย่างของบริษัท
      ราวกับว่ากำลังทำรายงานประจำปีหรือโบร์ชัวร์ของบริษัท
  
        
      บทสรุป          
       
                     
      รูปแบบการค้าได้ถูกปฏิวัติมาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
      การตลาดซึ่งเป็นหน้าที่หนึ่งของธุรกิจย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
      นักการตลาด 
      ต้องเข้าใจถึงความแตกต่างของกลยุทธ์การตลาดแบบดั้งเดิมและกลยุทธ์การตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์
      และในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงจะต้องสามารถผสม 
      ผสานทั้ง 2
      กลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน
      และจะต้องเฝ้าติดตามและประเมินผลของกลยุทธ์อย่างไกล้ชิด
      เพราะบทเรียนที่เป็นประสบการณ์ทางการตลาดยังมีให้ศึกษาไม่ 
      มากนัก
      เนื่องจากเป็นยุคเริ่มต้นของการตลาดอิเล็กทรอนิกส์แบบจริงจัง
      ดังนั้น
      ประสบการณ์จาการลองผิดลองถูกจึงเป็นสิ่งมีค่ามากก็ต่อเมื่อนักการตลาดเรียนรู้ 
      ได้เร็ว 
                    
      สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นนำอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด
      ต้องรีบปรับตัวเพราะมูลค่าของการซื้อขายกันทางอิเล็กทรอนิกส์
      ซึ่งรายงาน 
      จาก www.cyberatlas.com
      เมื่อปลายเดือนสิงหาคม
      ค.ศ.2000
      มีมูลค่าประมาณ
      327
      พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
      ซึ่งเท่ากับ
      5%
      ของการซื้อขายกันทั้งโลก
      และคาดว่าจะมี 
      ประชาชนชาวเน็ต
      ( Netizen ) ถึง 300
      ล้านคนในปี
      ค.ศ.2001
      และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
      ด้วยอัตราที่รวดเร็ว
      ตัวเลขและแนวโน้มเหล่านี้นับเป็นตัวเลข 
      ที่มีความหมายมากในเชิงการตลาด 
       
                   
      การตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์จะประสบผลสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ
      หลายประการ
      เช่น
      ความพร้อมทางเทคโนโลยี
      นโยบายของรัฐบาล
      ความปลอดภัย 
      จากระบบการชำระเงิน
      การขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
      และการยอมรับของบุคคลในองค์กร
      ดังนั้น
      การกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด
      นักการตลาดจำเป็นต้องคำนึง 
      ถึงปัจจัยต่างๆ
      เหล่านี้ด้วย 
       
        
       
                    
      การนำเทคโนโลยี อี-คอมเมิร์ซ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจมีมานานนับสิบปีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะใช้กันอยู่ในบริษัทใหญ่ๆในต่างประเทศ
      ซึ่งจะเป็น 
      ไปในระบบ อี-
      คอมเมิร์ซ แบบปิดที่ใช้เฉพาะภายในเครื่อข่ายของบริษัทเหล่านั้นเอง นับจากการใช้ระบบ
      EDI ( Electronic data interchang )
      เป็นสื่อใน 
      การทำ อี-
      คอมเมิร์ซ และปัจจุบันได้พัฒนามาใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อแทนระบบ
      EDI
      บริษัทเหล่านี้ได้เล็งเห็นถึงความมีประสิทธิภาพในการทำงาน
      มีต้นทุน 
      ในการดำเนินงานที่เหมาะสม และช่วยให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท โบอิ้ง ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมการบิน ,ห้างเทสโก้ 
      ร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ฃึ่งบริษัททั้งสองแห่งดังกล่าวได้นำเอา อี-คอมเมิร์ซ มาประยูกต์ใช้ 
      สำหรับอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของตนและพัฒนา 
      ปรับปรุงการบริหารกระบวนการของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain management) ของตน ให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้สูงสุด 
                       
                   อี-คอมเมิร์ซ ทั้งในรูปแบบ B2C และB2B ในประเทศไทยยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
      และยังก้าวหน้าไปไม่มากนัก
      เนื่องจากทั้งผู้ประกอบการและ 
      ภาครัฐของไทยยังขาดความรู้และความเข้าใจอย่างถ้องแท้ ในเรื่องนี้ ส่งผลให้ขาดทิศทางที่ถูกต้องในการก้าวเดิน
      และขาดการลงทุนอย่างแหมาะสมเพื่อที่จะ 
      พัฒนาระบบ อี-คอมเมิร์ฃให้สามารถช่วยในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ     ปัจจัยแห่วความสำเร็จของการนำระบบ อี-คอมเมิร์ซ
      ไปใช้ในการดำเนิน 
      ธุรกิจการค้าสำหรับผู้ประกอบการไทยมีดังนี้ 
       
      
      
 
        
                    
            1. วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร 
            ผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์
            ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการนำเอาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและ 
            อี-คอมเมิร์ซ เข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงานขององค์กร ต้องมีการศึกษาให้เข้าใจในรู้แบบของ อี-ดอมเมิร์ซ
            ทั้ง B2C  
            และB2B อย่างชัดเจน ว่าจะนำมาช่วยในเรื่องการบริการลูกค้าและในกระบวนการบริหารห่วงโซ่อุปทาน
            (supply chain 
            management )  ได้อย่างไรบ้าง  มีความเข้าใจถึงประเภทหรือหน้าที่การทำงานของเว็ปไฃต์
            ที่มีหน้าที่ในการโฆษณา 
            ประชาสัมพันธ์บริษัทและสินค้าหรือบริการของบริษัทเว็ปไฃต์ที่มีหน้าที่ในการช่วยค้นหาเรื่องต่างๆ ที่ต้องการ(ที่เรียกว่า 
            search engine web site เช่น  www.yahoo.com
            เป็นต้น) ในบ้างครั้งในการที่แต่ละองค์กรมีเว็ปไฃต์เป็นของตนเอง 
            ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้นำเอาระบบอี-คอมเมิร์ซ์เข้าไปไช้ในการดำเนินงานแล้วแท้จริงอาจเป็นเพียงเว็ปไฃต์ที่ช่วย 
            ในการโฆษณาเท่านั้นเอง ผู้บริหารต้องอย่ามองอี-คอมเมิร์ซเป็นเรื่องของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจจะทำให้เกิด 
            ความกลัวที่จะใช้เทคโนโลยี ทั้งอินเตอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซ
            และที่สำคัญผู้บริหารจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการจากเดิมที่ 
            เพียงแต่รอดูว่าใครจะสามารถทำได้จนสำเร็จแล้วค่อยเดินตาม แต่ในโลกการค้ายุคใหม่
            ผุ้บริหารจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ 
            เชิงรุกที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าก่อน แทนการรอดูเหมือนแต่เดิม | 
          
       
       | 
         
       
                
      2.กระบวนการและวิธีการทำงาน
      ผู้บริหารจะต้องแจ้งหรืออธิบายให้พนักงานในองค์กรรับทราบอย่างชัดเจนว่ากระบวนการและวิธีการทำงานใดบ้าง 
 ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นระหว่างแผนกต่างๆ ภายในองค์กรเอง ระหว่างองค์กรกับฃัพพลายเออร์ขององค์กรหรือระหว่างองค์กรกับลูกค้าขององค์กร 
      รวมทั้งจะเริ่มต้นอย่างไร เริ่มต้มได้เมื่อไรเป็นต้น 
       
                 3. พนักงานและองค์กร
      ผู้บริหารต้องทำความเข้าใจกับพนักงานขององค์กรให้มีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานที่จะนำเอาเทคโนโลยี 
 อินเตอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซ เข้ามาประยุกต์ใช้ และทิศทางในการก้าวเดินต่อไปขององค์กร อันจะเป็นความลดความกังวลในการทำงาน
      และลดการต่อต้าน 
      ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการจาการทำงานแบบเดิม ไปเป็นกระบวนการแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีและข้อมูลในการทำงาน 
       
                 4. ระบบข้อมูลพื้นและระบบคอมพิวเตอร์
         ระบบขอ้มูลพื้นฐานและระบบคอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า ระบบ ERP SYSTEM
      ( emterprise resource 
      planing ) หรือ ระบบ BACK OFFICE ขององค์กรมีความสามารถ  ที่จะรองรับการนำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซมาใช้หรือไม่
      เนื่องจากการดำเนิน 
      งานโดยวิธีการแบบใหม่นี้จะมีปริมาณขอ้มูลที่จะต้องเก็บไว้และจะมีปริมาณข้อมูลไหลเวียนจำนวนมาก เช่น
      ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่าง
      ๆ ( เช่น 
      ข้อมูลการรับคำสั่งซื้อ
      ข้อมูลการจัดส่ง ฯลฯ)
      รวมถึงข้อมูลของลูกค้า เพื่อที่จะสามารถติดตามและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง
      ข้อมูลการติดต่อ 
      ทางการค้ากับซัพพลายเออร์ในด้านต่างๆ ขององค์กร ข้อมูลการผลิต และสินค้าคงคลัง เป็นต้น ฃึ่งจะเป็นการบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอดเวลาของการ 
      ดำเนินงาน เพื่อที่จะให้มีสินค้าและบริการในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสนองตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อยู่เสมอ
      ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานที่ 
      เหมาะสมด้วยเช่นกัน 
       
                 5. ระบบอี-คอมเมิร์ซ
         จะต้องมีการพัฒนาระบบอี-คอมเมิอร์ฃด้วยตัวเอง หรือตัดสินใจเลือกใช้ระบบอี-คอมเมอร์ฃจากผู้ให้บริการต่างๆ ที่จะสามารถ 
 ทำงานร่วมกับกับกระบวนการในการทำงานขององค์กร และมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาปรับปรุงได้ โดยต้องคำนึงถึงการลงทุน
      การอบรมการใช้งานแก่ 
      พนักงาน เวลาที่ต้องการเข้าสู่ระบบอี-คอมเมิอร์ฃ และสภาวะการแข่งขันเป็นต้น 
       
                 6. ระบบรักษาความปลอดภัย
          องค์กรจำเป็นที่จะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เพื่อรองรับการทำงานของระบบอี-คอมเมิร์ซ เพื่อป้องกันการ 
      โจรกรรมข้อมูลในทุกๆ
      ส่วน
      และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกฝ่ายที่เข้าร่วมใช้ระบบอี-คอมเมิร์ซ 
       
                 7.เวลาที่จะเริ่มใช้ระบบอี-คอมเมิร์ซ
      การเตรียมการเพื่อจะเริ่มใช้ระบบอี-คอมเมิร์ซ
      จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่องค์กรสามารถ 
      เตรียมความพร้อมภายใน เช่น การพัฒนาบุคลากร การจัดเตรียมระบบคอมพิวเตอร์ และให้ทันต่อการแข่งขัน เพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน 
      ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสะดวกให้แก่ลูกค้าการประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เช่น ฃัพพลายเออร์ เพื่อองค์กรมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
      และมีต้นทุนที่เหมาะสม 
       
                 8. กลยุทธ์การตลาด
         นอกจากเตรียมความพร้อมขององค์กรในด้านต่างๆแล้วยังต้องเตรียมการสำหรับกระบวนการด้านการตลาดทั้งในแบบเดิม 
      ( offline marketing ) และแบบใหม่ที่ดำเนินการผ่านเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต
      ( online marketing ) ให้เป็นไปอย่างผสมผสานและสอดคล้องกัน
      เพื่อที่จะสามารถ 
      แข่งขันกับคู่แข่งทางการค้าอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพอี-คอมเมิร์ซ ในวันนี้เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปประยุกต์ในกระบวนการต่างๆ
      ขององค์กรได้หลาย
      ๆ 
      ส่วนไม่ว่าจะเป็นกระบวนการขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภค ที่เรียกว่า B2C
      E-Commerce และประยุกต์เข้าไปในกระบวนการบริหารห่วงโซ่อุปทาน  
      ( supply chain management )  ฃึ่งเรียกว่า B2B
      E-Commerce ที่เป็นกระบวนการประสานงานกับซัพลายเออร์
      การผลิต
      การจัดเก็บและการเคลื่อนย้ายสินค้า 
      และบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ทันการโดยที่องค์กรจะต้องได้รับประโยชน์สุงสุดเช่นกัน
      และช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน 
      ในโลกการค้ายุคใหม่นี้....... 
      
                                                                                    
        
      
                                                                                                                              
      |