บทนำ
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เรียกกันว่ายุคนี้คือ
ยุคดิจิตอล
ระบบการตลาดก็เช่นเดียวกัน
ผลจากเทคโนโลยีทำให้ระบบการ
ตลาดเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
การพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทำให้การตลาดต้องปรับตัวให้ทันกับระบบการค้า
บทความนี้มีวัตถุประสงค์
เพื่อเสนอแนวคิดทางการตลาดอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า
Electronic Marketing หรือ E-Marketing
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความแตกต่างระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิม
( Traditional Marketing )
กับการตลาดแบบอิเล็กทรอนิคส์
ทั้งทางด้านแนวคิด
ลูกค้า
สินค้า
และบริการ
และกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ
เนื่องจาการใช้อิเล็กทรอนิคส์เป็นเครื่องมือทางการพาณิชย์มีหลายรูปแบบ
เช่น
อินเตอร์เน็ต
โทรทัศน์
โทรศัพท์มือถือ
และโทรสาร
เป็นต้น บท
ความนี้จะกล่าวถึงการตลาดอิเล็กทรอนิคส์ทางอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก
เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้กันมากที่สุด
ซึ่งอาจจะเรียกว่า
" Online Marketing " หรือ " Web
Marketing " ก็ได้
ประชากรบนอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่า
" Netizen "
มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากการสำรวจของ
www.nua.ie
ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคม
ค.ศ. 2000
พบว่ามีประชากรอยู่
332.73
ล้านคนทั่วโลก
ประชากรเหล่านี้แยกตามทวีปได้ดังนี้
|
แอฟริกา
เอเซีย/แปซิฟิก
ยุโรป
ตะวันออกกลาง
แคนาดาและอเมริกา
ละตินอเมริกา
สำหรับประเทศไทยมีประชากรอินเตอร์เน็ตอยู่ประมาณ
1 ล้านคน |
2.77
75.50
91.82
1.90
147.48
13.19 |
ล้านคน
ล้านคน
ล้านคน
ล้านคน
ล้านคน
ล้านคน |
|
นิยามของการตลาดอิเล็กทรอนิคส์
การตลาดอิเล็กทรอนิคส์
หมายถึง
การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์
เช่น
คอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องมือในการดำเนิน
กิจกรรมทางการตลาดกับกลุ่มเป้าหมาย
เป็นกิจกรรมที่เป็นการสื่อสาร
2 ทาง
และกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถติดต่อกับผู้บรโภคได้ทั่วโลกและตลอดเวลา
ลักษณะพิเศษของการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์
1.
ตลาดเป็นตลาดแบบเจาะจง
( Niche Market )
ลูกค้ามาที่เว็บไซต์มีจุดมุ่งหมายจะซื้อสินค้าที่เขาอยากได้
เช่น
ผู้ต้องการซื้อรองเท้าก็จะเข้ามาดูเว็บ
ที่ขายรองเท้า
2.
เป็นการแบ่งส่วนตลาดเชิงพฤติกรรม
( Behavioral Segmentation )
การจัดกลุ่มลูกค้าพิจารณาจากความสนใจคุณค่าที่ลูกค้าให้ติดต่อสินค้าหรือ
บริการใดบริการหนึ่ง
และวิถีชีวิตของลูกค้า
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งกำหนดพฤติกรรมของลูกค้า
3.
เป็นการตลาดแบบตัวต่อตัว
( Personalize Marketing / P - marketing )
ลูกค้าสามารถกำหนดรูปแบบของสินค้าและบริการได้ตามความต้องการ
ซึ่งอาจจะแตกต่างกับผู้อื่น
เช่น www.ivillege.com
เสนอเมนูอาหารให้แม่บ้านเลือกโดยให้แม่บ้านเลือกประเภทของวัตถุดิบ
และระยะเวลาใน
การประกอบอาหารเอง
แม่บ้านก็จะได้เมนูอาหารพร้อมวิธีการปรุง
4.
ลูกค้ากระจายอยู่ทั่วโลก
เพราะระบบอินเตอร์เน็ตสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก
ทำให้ตลาดกว้างใหญ่ไพศาล
5.
ทำธุรกิจได้ตลอดเวลา
ผู้ขายสามารถเปิดร้านขายได้
365 วัน 24 ชม.
โดยมาตรฐานคงที่
ซึ่งคุณลักษณะข้อนี้ได้เปรียบกับการค้าแบบดั้งเดิม
ซึ่ง
บุคลากรต้องการพักผ่อน
ถ้าจะขยาย 24
ชั่วโมง
ต้องใช้พนักงานขายถึง
2-3 คน
6.
ข้อมูลของสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
เพราะผู้บริโภคจะรู้จักและเกิดความรู้ในสินค้า
( Product Knowledge )
จากข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์
เขาไม่มีพนักงานขายคอยแนะนำ
7.
ธุรกิจออนไลน์เป็นกิจกรรมทางการตลาดแบบผสม
บนเว็บไซต์การโฆษณาประชาสัมพันธ์ขาย
การชำระเงินและกิจกรรมอื่นๆ
ที่ทำให้เกิดซื้อขาย
สินค้า
อยู่รวมกันในเว็บไซต์
8.
เป็นการสื่อสาร
2 ทาง
ผู้ซื้อกับผู้ขายสามารถโต้ตอบกันได้ทันที
9.
เป็นการดำเนินธุรกิจด้วยต้นทุนต่ำ
เพราะใช้บุคลากรจำนวนน้อย
การสื่อสารการตลาดทำได้รวดเร็วและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
ซึ่งถ้าเป็นการ
ตลาดแบบดั้งเดิมการจัดทำแค็ตตาล็อก
หรือชิ้นงานโฆษณาจะต้องใช้เวลานาน
และใช้งบประมาณสูง
แต่ในระบบอิเล็กทรอนิคส์ผู้ขายสามารถจัด
ทำได้เร็วและราคาถูก
นอกจากนี้ธุรกิจแบบนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินถาวรที่ราคาสูง
เช่น
สถานที่ทำงาน
อุปกรณ์สำนังาน
เพราะติดต่อกับ
ลูกค้าบนจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น
10.
สินค้าบางประเภทจะถูกจัดส่งให้ลูกค้าได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เช่น
การดาวน์โหลดเพลง
หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ความแตกต่างระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิม
( Traditional
Marketing ) กับการตลาดอิเล็กทรอนิคส์
( Electronic
Marketing )
ถ้าพิจารณาในเชิงเปรียบเทียบระหว่างการตลาดแบบดั้งเดิมและการตลาดอิเล็กทรอนิคส์
พอสรุปได้ดังตารางข้างล่างนี้
ปัจจัยทางการตลาด |
การตลาดแบบดั้งเดิม |
การตลาดอิเล็กทรอนิคส์ |
ลูกค้า
|
หลากหลาย
|
เฉพาะกลุ่มส่วนใหญ่มีความรู้ค่อนข้างสูงใน
ประเทศไทยเป็นคนในเมืองเป็นส่วนใหญ่
|
การวิจัยตลาด
|
มักทำกับกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่ม
|
ทำกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
|
การแบ่งส่วนตลาด
|
ใช้เกณฑ์สภาพภูมิศาสตร์
และประชากรศาสตร์
เป็นหลัก
|
ใช้เกณฑ์พฤติกรรมศาสตร์เป็นหลัก
|
ประเภทของสินค้า
|
แบ่งได้หลายแบบที่นิยมคือแบ่งตามพฤติกรรม
การซื้อคือ
แบ่งเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค
สินค้า
อุตสาหกรรมและบริการ
|
แบ่งตามวิธีการขนส่ง
คือสินค้าที่ต้องใช้บริการ
การจัดส่งกับสินค้าที่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ต
|
สินค้า
|
บริษัทพัฒนาสินค้าแล้วทดสอบการยอมรับจาก
ผู้บริโภค
|
ส่วนมากเป็นการผลิตตามความต้องการของลูก
ค้าแต่ละราย
มีความยืดหยุ่นสูง
|
ราคา
|
กำหนดโดยบริษัท
|
ขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการที่ลูกค้าเลือกดังนั้น
ลูกค้าจึงเป็นผู้กำหนดราคา
|
การจัดการการขาย
|
ลูกค้าพิจารณาข้อมูลจากการนำเสนอของพนัก
งานขายหรือสื่อโฆษณาอื่นๆ
|
เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้
ขาย
ผู้ซื้อเป็นผู้เลือกข้อมูลตามความต้องการ
ของตน
|
ช่องทางการจัดจำหน่าย
|
ขายผ่านคนกลาง
หรือผ่านพนักงานขาย
|
ขายตรงไปยังผู้ซื้อ
|
การครอบคลุมเขตการขาย
|
คลอบคลุมเป็นบางพื้นที่
|
สามารถขายได้ทุกที่ทั่วโลก
|
การสื่อสารการตลาด
|
ใช้ทั้งกลยุทธุ์ผลัก
( push strategy )
และกลยุทธุ์
ดึง ( pull strategy )
คือ
โฆษณาทั้งคนกลางและ
ผู้บริโภค
|
ใช้กลยุทธุ์ดึง
( pull strategy )
คือโฆษณาโดย
ตรงไปยังผู้บริโภค
|
หน่วยงานที่ถูกทดแทนจาการค้าบนเว็บไซต์
เนื่องจากการดำเนินงานธุรกิจบนเว็บไซต์เป็นการรวบรวมหน้าที่งานทางธุรกิจเกือบทั้งหมด
ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานและอุปกรณ์
ต่างๆ
ที่เคยมีในการค้าแบบดั้งเดิม
จากภาพจะเห็นว่ามีหน่วยงานและอุปกรณ์
10
รายการที่ถูกการค้าบนเว็บไซต์เข้าแทนที่
ประเภทของสินค้าและบริการ
สินค้าและบริการที่นำเสนอขายทางอิเล็กทรอนิคส์
แบ่งประเภทตามการขนส่ง
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น
3 ประเภท คือ
1.
สินค้าที่จับต้องได้
( Hard Goods )
2.
สินค้าที่จับต้องไม่ได้
( Soft Goods )
3. บริการ ( Service )
สินค้าที่จับต้องได้
( Hard Goods )
เป็นสินค้าที่ผู้ขายต้องจัดส่งไปให้ผู้ซื้อ
ถ้าผู้ขายขายสินค้าประเภทนี้จะต้องจัดหาบริษัทขนส่งสินค้า
ศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขการจัดส่งของแต่
ละบริษัท
อาทิเช่น
การคำณวนค่าขนส่ง
ประเภทของสินค้าที่รับขนส่ง
ปริมาณการขนส่ง
เป็นต้น
เพราะบางบริษัทอาจไม่รับขนส่งสินค้าที่เน่าเสียหาย
เช่น ดอกไม้
นอกจากนี้บริษัทยังต้องจัดการเกี่ยวกับโกดังสินค้าเพราะต้องสต๊อกสินค้าเอาไว้
เพื่อเตรียมขาย
อเมซอน
ร้านหนังสือบนเว็บรายใหญ่
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
ได้นำ
เสนอจุดขายจุดหนึ่งคือ
การจัดส่งที่รวดเร็ว
ซึ่งทำให้บริษัทต้องสำรองหนังสือไว้ในคลังสินค้าเป็นจำนวนมาก
การจัดส่งให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วเป็นจุดขายที่ดี
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อนในด้านค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องเสียไปในการจัดเก็บสินค้า
สินค้าที่จับต้องไม่ได้
( Soft Goods)
เป็นสินค้าที่ผู้ขายไม่จำเป็นต้องจัดส่งให้ผู้ซื้อเพราะเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อสามารถดึงหรือที่เรียกว่า
ดาวน์โหลดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ขายมาเข้า
เครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ซื้อ
สินค้ากลุ่มนี้ได้แก่
โปรแกรมคอมพิวเตอร์
ข้อมูลประเภทต่างๆ
และเพลง
เป็นต้น
การขายสินค้าประเภทนี้ใช้เงินลงทุนต่ำกว่า
ประเภทแรก
เพราะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและงานได้หลายรายการ
อาทิเช่น
ค่าก่อสร้างหรือเช่าโกดังเก็บสินค้า
เงินลงทุนในสินค้าคงคลัง
และค่าใช้จ่ายใน
การจัดส่งสินค้า
เป็นต้น
แต่ผู้ขายสินค้าประเภทนี้จะต้องลงทุนในเทคโนโลยี
ซึ่งบางครั้งจะต้องให้ผู้ซื้อดาวน์โหลดโปรแกรมบางโปรแกรมจึงจะสามารถใช้บริการ
ของผู้ขายได้
บริการ
( Service )
เป็นบริการที่ผู้ขายจัดขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้เข้ามาเยี่ยมเว็บไซต์
โดยไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการ
บริการที่เสนออาจเป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับ
อินเตอร์เน็ต
เช่น
บริการของอินเตอร์เน็ตเซอร์วิสโพรไวด์เดอร์
( Internet service provider-ISP )
ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการกับเจ้าของร้านค้าหรือบุคคลทั่วไปใน
การจับจองเนื้อที่ของเว็บไซต์เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์
หรือบางบริการอาจเป็นบริการที่ไม่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตเช่น
เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์รวมของข้อมูล
ข่าวสารที่เรียกว่า
พอร์ทอล
ไซต์ ( Portal site )
ซึ่งให้บริการในการค้นหาข้อมูลซึ่งเรียกว่า
เสริซ์เอนจิ้น
( Search engine )
ผู้ต้องการข้อมูลไม่ว่าจะเป็นข้อมูลใดๆ
สามารถค้นหาได้โดยพิมพ์คำที่มีความหมายถึงประเภทของข้อมูลที่ต้องการ
ก็จะได้ข้อมูลตามที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะมีสินค้าและบริการครบทั้ง
3 ประเภท
เพื่อเป็นการให้บริการลูกค้าครบวงจร
ขั้นตอนของการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์
ในการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์ประกอบด้วยขั้นตอน
10 ขั้นตอน
เริ่มจากเจ้าของสินค้าเสนอขายสินค้าหรือบริการ
จนกระทั่งลูกค้าซื้อสินค้าและผู้ขาย
รับเงิน
ขั้นตอนของการค้าแบบอิเล็กทรอนิคส์แสดงได้ดังนี้
จากภาพ
จะเห็นว่าขบวนการจะเป็นดังนี้
ขั้นตอนที่
1 ผู้ขายจัดหาสินค้าแล้วเสนอขายต่อผู้บริโภคทางอินเตอร์เน็ต
ขั้นตอนที่
2 ผู้บริโภคใช้อินเตอร์เน็ตเห็นข้อมูลของสินค้า
ขั้นตอนที่
3 เมื่อผู้บริโภคเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ
แล้ว
ตกลงตัดสินใจซื้อจากผู้ขาย
ขั้นตอนที่
4 เมื่อผู้บริโภคสั่งซื้อสินค้าโดยผ่านบัตรเครดิตหรือบริการอื่นของธนาคาร
เช่นเช็ค
ส่วนใหญ่จะเป็นการตัดบัญชีผ่านบัตรเครดิต
ขั้นตอนที่
5 เมื่อธนาคารตรวจสอบเครดิตของผู้ซื้อแล้วก็จะส่งข้อมูลเข้ามาในอินเตอร์เน็ต
ขั้นตอนที่
6 ผู้ขายได้รับทราบข้อมูลจากธนาคารก็จัดเตรียมสินค้าตามที่ผู้ซื้อต้องการ
ขั้นตอนที่
7 ผู้ขายทำการเลือกบริษัทขนส่ง
แล้วเตรียมสินค้าให้พร้อมสำหรับการขนส่ง
แล้วส่งไปบริษัทขนส่ง
หรือบริษัทขนส่งมารับสินค้า
แล้วแต่กรณี
ขั้นตอนที่
8 บริษัทขนส่งจัดส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อพร้อมเก็บค่าธรรมเนียม
/
ภาษีแล้วแต่กรณี
ขั้นตอนที่
9 ผู้ซื้อจ่ายเงินโดยธนาคารหักบัญชีของผู้ซื้อ
ขั้นตอนที่
10 ธนาคารจ่ายเงินให้ผู้ขาย
เครื่องมือหลักๆ
ในการทำตลาดอิเล็กทรอนิคส์
1. เวิลด์ ไวด์
เว็บ ( www ) คือ
การจัดทำเว็บไซต์เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดเช่น
เพื่อขายสินค้า
เพื่อประชาสัมพันธ์บริษัท
2.
อีเมล์ ( E-mail )
หรือจดหมายอิเล็กทรอนิคส์
ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการส่งข้อมูลข่าวสารไปยังลูกค้า
หรือบุคคลที่ตัดปะด้วย
3.
เมล์ลิ่งลิสต์
( Mailing list ) คือ
กลุ่มของบุคคลที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน
ซึ่งในด้านการตลาดถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก
เพราะเป็นกลุ่มเป้าหมาย
ทางการตลาด
เนื่องจากแต่ละกลุ่มประกอบด้วยคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน
4.
เว็บบอร์ด ( Web
board ) คือ
กระดานข่าวที่ให้ผู้คนเข้ามาเสนอแนวความคิดหรือพูดคุยกัน
ในด้านการตลาดสามารถใช้เว็บบอร์ดเป็นที่สร้างกระแสได้
ซึ่ง
จะทำให้ผู้คนรู้จักหรือทราบในเรื่องที่เราต้องการสื่อสารซึ่งถือเป็นสื่อ
( Medium )
ชนิดหนึ่งในการประชาสัมพันธ์
ประเภทของการค้าบนอินเตอร์เน็ต
ผู้ประกอบการอินเตอร์เน็ตมีกลุ่มเป้าหมายอยู่หลักๆ
อยู่ 2 กลุ่ม
คือ
กลุ่มที่เป็นธุรกิจ
และกลุ่มที่เป็นผู้บริโภค
ลักษณะและกลยุทธ์การตลาดหลักๆ
เป็นดังนี้
1.
ธุรกิจกับธุกิจ
( Business to
business หรือ
B to B )
เป็นการติดต่อธุรกิจระหว่างบริษัทกับบริษัท
เช่นบริษัทผู้ผลิตรองเท้าในประเทศไทยกับ
บริษัทตัวแทนจำหน่าย
ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจะสั่งซื้อรองเท้าเพื่อไปขายต่อผู้ค้าปลีกหรือผู้บริโภค
กรณีนี้ผู้ซื้อมักจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบของ
รองเท้าให้ผู้ผลิตในประเทศผลิต
เช่นเดียวกับการตลาดแบบดั้งเดิม
ลักษณะหลักๆ
ของตลาดธุรกิจมีดังนี้
-
มีจำนวนผู้ซื้อและรายการคำสั่งซื้อน้อยราย
-
แต่ละคำสั่งซื้อมีปริมาณสินค้าเป็นจำนวนมาก
-
การจัดส่งสินค้าเป็นปริมาณมากต้องใช้บริษัทจัดส่งที่มีความชำนาญ
-
ราคาจะเป็นราคาขายส่งเพื่อให้ผู้ซื้อทางธุรกิจสามารถตั้งราคาขายปลีกให้แข่งขันได้
กลยุทธ์การตลาดหลักๆมีดังนี้
1.
ให้ข้อมูลแก่ลูกค้ามากที่สุด
เพราะผู้ซื้อทางธุรกิจต้องการละเอียดมากเช่น
ผู้ผลิตผลิตรองเท้าได้กี่แบบ
ความสามารถในการปรับเปลี่ยนการผลิต
ประเภท
ของวัสดุที่ใช้ผลิต
ขนาด
ราคาตามปริมาณการสั่งซื้อ
การขนส่ง
ธนาคารที่ติดต่อ
ค่าธรรมเนียม
และภาษีอากรของแต่ละประเทศ
และบริการอื่นๆ
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ผู้ซื้อทางธุรกิจต้องนำมาเปรียบเทียบกับผู้ผลิตรายอื่น
แล้วนำมาคำนวณหาผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับ
2.
ผู้ขายใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
โดยปรกติผู้ซื้อทางธุรกิจมักได้รับอนุญาตให้รหัสผ่านเพื่อเข้าไปดูข้อมูลทางการค้าใน
ระดับที่ลึกกว่าลูกค้าทั่วไป
3.
ทำวิจัยตลาดบนเว็บไซต์
เพื่อทราบความต้องการของลูกค้า
และเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการตลาดต่อไป
4.
ใช้ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันที่เรียกว่า
" Electronic data interchange หรือ EDI "
ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อสื่อสาร
กันได้อย่างรวดเร็ว เช่นระบบสต็อกสินค้า
เมื่อผู้บริโภค
ซึ่งเป็นผู้ซื้อคนสุดท้าย
ซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า
และทำให้จำนวนสินค้าคงเหลือในคลังสินค้า
ของห้างสรรพสินค้าถึงจุดที่ต้องสั่งซื้อใหม่
ข้อมูลนี้จะถูกส่งจากห้างสรรพสินค้าไปยังบริษัทผู้ขาย
ทำให้บริษัทผู้ขายได้ข้อมูลการสั่งซื้ออย่างรวดเร็วและส่ง
สินค้าได้ทันเวลา
ทำให้ทั้ง 2
ฝ่ายได้ผลประโยชน์เต็มที่จากการดำเนินธุรกิจ
2.
ธุรกิจกับผู้บริโภค
( Business to
consumer
หรือ B
to C ) เป็นการติดต่อธุรกิจระหว่างผู้ผลิตหรือผู้ขายกับผู้ซื้อที่เป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย
(
Consumer )
ซึ่งซื้อเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
เช่น
ผู้ซื้อในประเทศไทย
สั่งซื้อหนังสือจาก
www.amazon.com
ลักษณะหลักๆ
ของตลาดผู้บริโภคมีดังนี้
-
มีจำนวนผู้ซื้อหรือผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์มากราย
-
แต่ละคำสั่งซื้อมีปริมาณน้อย
-
เสนอขายสินค้าให้ผู้ซื้อแต่ละรายตามความต้องการของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
-
ผู้ซื้อนำสินค้าไปใช้ในการอุปโภคหรือบริโภคมิได้นำไปขายต่อ
กลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ
1.
การกำหนดตลาดเป้าหมาย
และการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์
( Targeting
and positioning )
ต้องสอดคล้องกัน
เช่น www.nike.com
สร้างขึ้นมาเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักกีฬา
ตำแหน่งผลิตภัณฑ์จึงเป็นศูนย์รวมของเครื่องกีฬา
2.
การตั้งชื่อ
( Branding ) การตั้งชื่อในการตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์จะต้องคำนึงถึงความง่ายถึงการค้นหาของผู้ซื้อเป็นหลัก
ดังนั้นการตั้งชื่อจะต้องบ่ง
บอกสินค้า
และต้องใช้คำศัพท์ที่เป็นสากล
3.
ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
( Interactivity
) คือต้องสามารถสื่อสาร
2 ทาง
ผู้ขายและผู้ซื้อต้องสามารถโต้ตอบกันได้
และต้องรวดเร็ว
4.
ข้อมูลของสินค้า
( Product
information ) เป็นปัจจัยที่สำคัญ
เพราะการขายบนเว็บจะต้องทำเว็บให้ทำหน้าที่เหมือนโชว์รูมพนักงาน
และพนักงาน
บริการ
ไม่มีพนักงานขายคอยแนะนำสินค้าไม่มีแค็ตตาล๊อกสินค้าให้อ่านและไม่มีคนเชียร์ให้ซื้อสินค้า
ดังนั้น "
ข้อมูล "
จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการตัด
สินใจซื้อของลูกค้า
5.
การแนะนำสินค้า
( Product
recommendation ) เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญกลยุทธ์หนึ่ง
เพื่อช่วยเร่งเร้าการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เร็วขึ้น
เพราะบนเว็บ
ไม่มีพนักงานทำหน้าที่ปิดการขาย
www.clinique.com
ซึ่งเสนอขายเครื่องสำอางค์คลีนิกจะทำการวิจัยลักษณะผิวพรรณของลูกค้าก่อน
โดยให้ลูกค้ากรอก
ข้อมูลส่วนตัว
แล้วสรุปประเภทของผิวของลูกค้า
และเมื่อลูกค้าต้องการสินค้าประเภทใด
ก็จะแนะนำสินค้าให้ตรงกับลักษณะผิวของลูกค้า
6.
สร้างจุดเด่นให้กับเว็บไซต์
( web site
differentiation ) เนื่องจากเว็บไซต์มีอยู่เกือบ
10 ล้านเว็บ
ดังนั้นการสร้างความแตกต่างจึงเป็นกลยุทธ์
หนึ่งที่สำคัญ
www.rotten.com
เป็นเว็บที่รวบรวมสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว
ก็สามารถสร้างความฮือฮาและเรียกร้องความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่ชอบเรื่อง
ราวเหล่านี้
7.
เพิ่มคุณค่าให้กับสินค้า
( Enchancing to product )
ด้วยการปรับปรุงและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง
หาบริการใหม่ๆ
นำเสนอแก่ลูกค้า
8.
พยายามกระตุ้นให้ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บมาซ้ำบ่อยๆ
( Encouraging repeated visits ) กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
เพราะการที่มีผู้มาเยี่ยมชม
บ่อย
เปรียบเสมือนร้านค้าหรือธุรกิจที่มีผู้คนพลุกพล่าน
ซึ่งทำให้โอกาสในการขายสินค้าและบริการสูงตามไปด้วย
และนอกจากนี้การที่มีผู้เข้าเยี่ยมชม
ทำให้เจ้าของเว็บสามารถกำหนดราคาค่าโฆษณาได้สูง
เว็บที่มีคนมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากส่วนใหญ่จะเป็นเว็บที่เป็นศูนย์รวมข้อมูล
( Portal web site )
อาทิ เช่น www.aol.com
, www.yahoo.com
และเว็บอื่นๆ
อีกมากมาย
การให้เข้ามาเยี่ยมชมซ้ำทำได้หลากหลายวิธี
เช่น www.garfield.com
มีรูปการ์ตูน
การ์ฟิลด์ให้พิมพ์เพื่อฝึกหัดระบายสี
โดยเปลี่ยนรูปทุก
2 สัปดาห์ www.mcdang.com
ซึ่งเป็นเว็บของรายการโทรทัศน์ที่มีเรตติ้งสูง
ดำเนินรายการโดย
มล.ศิริเฉลิม
สวัสดิวัฒน์
หรือรู้จักกันในนาม
" หมึกแดง "
จะมีรายการอาหารที่คุณหมึกแดงนำเสนอในรายการโทรทัศน์ซึ่งมีอยู่หลายสถานีในหนึ่งสัปดาห์
และทุกสัปดาห์ผู้สนใจจะต้องเข้ามาเยี่ยมชมเพื่อพิมพ์รายการอาหาร
ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมและวิธีการปรุง
9.
สร้างเว็บให้เป็นแหล่งชุมชน
( Building community ) กลยุทธ์สำคัญอีกประการหนึ่งคือ
สร้างเว็บให้เป็นศูนย์รวมของผู้คนเพื่อให้มีผู้เข้าเยี่ยมชม
อยู่ตลอดเวลาและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
www.pantip.com
เป็นเว็บที่แบ่งชุมชนตามความสนใจในเว็บบอร์ด
(
เป็นกระดานข่าวที่ให้ผู้คนเข้าไปเสนอ
ความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
) เช่น
กลุ่มรัชดา
เป็นชุมชนของคนที่สนใจในเรื่องรถยนต์
เครื่องเสียง
และโทรศัพท์มือถือใครมีคำถามเรื่องเหล่านี้
ก็สามารถเขียนเข้าไปถามได้
และสมาชิกผู้รู้จะเขียนเข้ามาตอบ
การที่แต่ละกลุ่มมีสมาชิกสนใจในเรื่องเดียวกัน
ในด้านการตลาดจัดว่าเป็นการแบ่งส่วน
ตลาดมที่มีประสิทธิภาพมาก
สมาชิกของแต่ละกลุ่มจะเข้าไปอ่านข้อมูลในกระดานข่าวอย่างสม่ำเสมอ
นับเป็นการสร้างความซื่อสัตย์ต่อตรายี่ห้อ
( Brand
loyalty ) ที่ดี
10.
ตอบสนองความพึงพอใจลูกค้าให้มากที่สุด
( Customizing ) กลยุทธ์นี้อยู่ภายใต้แนวคิดว่าสินค้าหรือบริการบนเว็บไม่ใช่สินค้าทั่วไปที่วางขายอยู่
ตามท้องตลาด
บริษัทท่องเที่ยวที่ขายบริการท่องเที่ยวผ่านเว็บจะต้องระลึกถึงการทำให้ลูกค้าสนุกกับโปรแกรมตลอดเวลา
ดังนั้นจึงควรสอบถามความต้อง
การของลูกค้า
เช่น
สถานที่
อาหาร
กิจกรรม
ที่พัก
และพาหนะเดินทางที่ลูกค้าชอบ
แล้วจึงจัดรายการตามนั้น
ซึ่งจะทำให้ลูกค้าพอใจสูงสุด
และเป็นการ
หลีกเลี่ยงการตัดราคาด้วย
www.newsingapore.com
ใช้กลยุทธ์นี้
11.
การส่งเสริมการขาย
( Sales promotion )
เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ต้องพิจารณา
อาจทำได้หลายรูปแบบเช่น
การแจกตัวอย่างสินค้า
( Sampling ) ซึ่ง
บริษัทขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์นิยมนำมาใช้
การแจกคูปอง
ลดราคาโรงภาพยนตร์อีจีวี
มักจะให้ผู้เข้ามาที่เว็บพิมพ์คูปองส่วนลดราคาเพื่อใช้ในการ
ซื้อบัตรชมภาพยนตร์
www.alladvantage.com
ส่งเสริมการขายด้วยวิธีแจกเงินแก่ผู้เข้ามาในเว็บไซต์
ถ้าใช้เวลานานก็จะได้เงินมาก
และถ้าแนะนำ
ผู้อื่นก็จะได้เงินค่าแนะนำด้วย
เมื่อผู้ถูกแนะนำท่องเว็บนี้
กลยุทธ์คล้ายกับกลยุทธ์การขายตรงแบบหลายชั้น
( Multi level marketing )
12.
การตลาดเชิงกิจกรรม
( Event marketing ) การตลาดเชิงกิจกรรมมักเป็นที่สนใจของผู้คนและมักจะบอกต่อๆ
กันไป ( word of mouth marketing
)
ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว
www.ourfirstime.com
ที่เคยฮือฮาด้วยการแถลงข่าวจะจัดให้มีการถ่ายทอดสดกิจกรรมทางเพศของชายหญิง
คู่หนึ่ง
เคยสร้างความเกียวกราวมาแล้ว
ผู้คนจดจำได้นานทางด้านการตลาดถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างความรู้จักเว็บ
( Brand awareness ) แต่
จะได้ทัศนะคติที่ดีต่อเว็บหรือไม่
ขึ้นอยู่กับสังคมในแต่ละประเทศ
อีกกิจกรรมหนึ่งซึ่งนิยมใช้กันเพราะทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างรวดเร็วคือมีเกมให้เล่น
www.madoo.com,
www.catcha.co.th
และอีกหลายๆ
เว็บ
ดังได้เพราะมีเกมทายที่ผิดของภาพเหมือน
( Photo hunt )
ให้ผู้คนเข้ามาร่วมกิจกรรม
13.
ใช้อีเมล์เป็นเครื่องมือในระบบการจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์
( CRM : Customer relationship management )
เมื่อบริษัทมีข่าวสารหรือ
โปรแกรมส่งเสริมการขายเฉพาะตัว
สามารถใช้อีเมล์เป็นเครื่องมือ
เพราะเป็นการตลาดทางตรง
ซึ่งลูกค้ารายอื่นไม่จำเป็นต้องทราบ
14.
สิ่งจูงใจอื่นๆ
( Other incentives )
นอกจากกลยุทธ์ดังกล่าวแล้ว
กลยุทธ์ที่นิยมใช้กันเพื่อจูงใจให้ผู้คนมาที่เว็บคือห้องสนทนา
( Chat )
อิเล็กทรอนิกส์
โปสการ์ด,รายงานอากาศ,แผนที่เดินทางและข้อมูลอื่นๆ
15.
ต่อเชื่อมกับเว็บอื่น
( Web linking ) ที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่ต้องเสียเวลาในการเปิดเว็บใหม่
เป็นการทำเว็บให้เป็น
ศูนย์รวมคล้ายๆ
กับห้างสรรพสินค้าที่นำกลยุทธ์
" One - Stop - shopping " มาใช้
16.
โฆษณาประชาสัมพันธ์ในเว็บที่เป็นที่นิยม
เช่น www.yahoo.com
เพราะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นจำนวนมาก
17.
ส่งเสริมการขายนอกเว็บ
( Offine promotion )
การที่จะทำเว็บให้เป็นที่รู้จัก
ต้องสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร
( Integrated marketing
communication )
คือใช้สื่ออื่นๆ
นอกเว็บด้วย
เช่น
การโฆษณา
การประชาสัมพันธ์
ผ่านสื่อต่างๆ
ประโยชน์ของการตลาดอิเล็กทรอนิคส์
การตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อและผู้ขายทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนที่ต่ำ
ข้อดีของการตลาดแบบนี้พอสรุปได้ดังนี้
สำหรับผู้ประกอบการ
1.
ประหยัดเงิน
เพราะเอกสารประกอบการขายเช่นแค็ตตาล็อค
โบว์ชัวร์
และเอกสารประกอบการขายอื่นๆ
ไม่ต้องพิมพ์ในกระดาษทำให้ผลิตเอกสารได้
รวดเร็ว
สวยงาม
นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนเอกสารเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องพิมพ์ใหม่
การจัดส่งก็ทำได้รวดเร็ว
และไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง
เอกสาร
เหตุผลเหล่านี้ทำให้ต้นทุนในการสื่อสารต่ำลง
2.
ประหยัดเวลาและลดขั้นตอนทางการตลาด
เนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาในการผลิตสื่อทั้งทางด้านการประสานงานกับบริษัทโฆษณาและการผลิตเอกสาร
ลดขั้นตอนการใช้พนักงานในการเข้าพบลูกค้า
ผู้ประกอบการสามารถเสนอข้อมูลให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
และเมื่อลูกค้าต้องการข้อมูลเพิ่ม
เติมหรือเฉพาะเจาะจงผู้ประกอบการก็สามารถจัดทำได้อย่างรวดเร็วและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
3.
ผู้ขายสามารถกำหนดขบวนการซื้อได้
เพราะการขายบนเว็บผู้ขายสามารถจัดขั้นตอนการจัดซื้อให้ลูกค้าดำเนินตามขั้นตอนที่กำหนดด้วยการอำนวย
ความสะดวกในเรื่องของแบบฟอร์มและการกรอก
เพียงลูกค้าคลิ๊กเม้าท์เท่านั้น
ขบวนการในการซื้อก็จบลง
ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ได้อย่างรวดเร็ว
และตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
4.
ผู้ขายสามารถให้ข้อมูลแก่ลูกค้าได้มากเท่าที่ลูกค้าต้องการและข้อมูลจะเป็นมาตรฐาน
ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับการตลาดแบบดังเดิมที่ใช้พนักงานเป็น
ผู้ให้ข้อมูล
มาตรฐานของข้อมูลจะขึ้นอยู่กับความเหนื่อยและอารมณ์ของพนักงาน
5.
ตลาดกว้างใหญ่ไพศาล
เพราะสามารถขายให้กับลูกค้าทั่วโลก
ดังนั้นระยะทางและเวลาจะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการขาย
6.
กำจัดอุปสรรคในการขายสินค้าในบางประเทศเพราะสามารถขายให้กับทุกคนที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์
กฎ ระเบียบ
และข้อจำกัดต่างๆ
ทางการค้า
ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคในการตลาดแบบดั้งเดิมจะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ซื้อขายด้วยวิธีดาวน์โหลด
7.
สามารถขายและสื่อสารได้ตลอดเวลาด้วยมาตรฐานเดียวกันตลอด
365 วัน และ 24
ชั่วโมง
ซึ่งทำให้สามารถขายได้ตลอดเวลา
8.
การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ทำได้กว้างขวาง
เพราะสามารถเชื่อมโยงกับเว็บต่างๆ
ได้
ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลจากเว็บอื่นได้
ทำให้เข้าถึงผู้ซื้อ
ได้มาก
9.
ข้อมูลจากผู้ซื้อทำให้นักการตลาดปรับแผนและกลยุทธ์การตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ข้อเสนอแนะหรือข้อคิดเห็นของผู้ซื้อ
จะเป็นประโยชน์ในการ
ปรับปรุงสินค้า
ราคา
เงื่อนไขและกลยุทธ์การตลาดต่างๆ
ได้
10.
ผู้ประกอบการสามารถสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งขันได้โดยการเข้าไปในเว็บของคู่แข่งก็จะทราบกลยุทธ์การตลาด
ทำให้
สามารถปรับการตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ข้อดีสำหรับลูกค้า
1.
ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าและบริการได้ทั่วโลกทำให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
2.
ผู้ซื้อจ่ายเงินซื้อสินค้าน้อยลง
เพราะผู้ขายไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายทางด้านคนกลาง
นอกจากนี้ผู้ขายมักจะขายในราคาใกล้เคียงกับคู่แข่งขันเพราะผู้ซื้อ
สามารถเปรียบเทียบราคาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
3.
ผู้ซื้อประหยัดเวลาในการเลือกซื้อ
เพราะสามารถหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและใกล้เคียงกับความเป็นจริงในการตลาดแบบดั้งเดิมผู้ซื้อต้องเดินทาง
หลายแห่ง
หรือต้องเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปยังสถานที่ขายสินค้า
แม้ว่าถึงสถานที่ขายก็อาจมีสินค้าให้เปรียบเทียบได้ไม่ครบ
แต่การเลือกซื้อบนเว็บ
สามารถเปรียบเทียบสินค้าได้ครบและด้วยเทคโนโลยีสามารถทำให้สินค้าใกล้เคียงความความจริงมากที่สุด
www.folksvagen.com
เป็นเว็บที่ลุกค้าที่
เข้าไปดูสามารถเห็นรถยนต์ได้ทุกมุม
แม้ทระทั่งภายในรถยนต์
คุณสมบัติของนักการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ที่ประสบความสำเร็จ
นักการตลาดที่ทำการค้าบนอินเตอร์เน็ต
จะต้องมีคุณสมบัติ
ดังนี้
1.
มีความคิดสร้างสรรค์
เหมือนการตลาดทั่วไปที่นักการตลาดต้องตกแต่งหน้าร้านให้สามารถดึงดูดหรือเรียกร้องความสนใจ
นักการตลาดจะต้องปรับเว็บ
ให้เป็นที่น่าสนใจตลอดเวลา
เพราะถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ลูกค้าเบื่อและเลิกสนใจเว็บ
2.
เป็นผู้รู้จักพฤติกรรมของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
จะต้องเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
และรู้วิธีจูงใจลูกค้าให้เยี่ยมชมเว็บอย่างสม่ำเสมอ
3.
เป็นผู้ไวต่อการเปลี่ยนแปลง
เนื่องจากการตลาดบนเว็บเป็นการสื่อสาร
2 ทาง
ลูกค้าจะสามารถติดต่อกับผู้ขายได้ตลอดเวลา
เช่นถามข้อมูลเกี่ยวกับ
สินค้าหรือบริการ
นักการตลาดจะต้องตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
4.
เป็นนักประสานสิบทิศ
การที่จะบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
และถูกต้องบริษัทต้องมีความพร้อมตลอดเวลาซึ่งนักการตลาดจะต้องทำงานร่วมกันกับลูกค้า
เจ้าของสินค้า
ฝ่ายผลิตบริษัทจัดส่ง
และธุรกิจอื่นๆ
ดังนั้นเขาจะต้องมีความสามารถประสานหน่วยงานหรือบบุคคลต่างๆ
เหล่านี้ให้พร้อมในการบริการ
5.
มีความเป็นมืออาชีพ
ทำงานทุกอย่างด้วยประสิทธิภาพสูง
แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
6.
เป็นผู้มีความกระตือรือร้น
ต้องติดตามรายละเอียดของงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
จึงต้องเป็นผู้มีพลังใจในการทำงานสูงมาก
7.
มีวิสัยทัศน์
ต้องเป็นผู้คาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ
เพราะการตลาดนั้น
เว็บมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก
ในด้านลูกค้าซึ่งมีปริมาณเพิ่มมาก
ขึ้นอย่างรวดเร็ว
คู่แข่งขันซึ่งปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
เทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง
ดังนั้นนักการตลาดบนเว็บจะต้องเป็นผู้ที่ไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง
และติดตาม
สาเหตุที่การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ไม่ประสบความสำเร็จ
แม้ว่าจะมีผู้ประกอบการใช้เว็บไซต์เป็นเครื่องมือทางการค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและรวดเร็ว
จำนวนผู้ประสบความสำเร็จกลับมีเป็นจำนวนน้อย
เหล่านี้คือ
สาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์ไม่ประสบความสำเร็จ
1.
ใช้สิ่งออนไลน์สิ่งเดียวในการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
เช่นใช้โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ในเว็บของตนเอง
และผ่านเว็บอื่นเท่านั้น
ซึ่งเป็นการ
สื่อสารเฉพาะกลุ่มที่รู้จักอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
การที่ไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากอินเตอร์เน็ต
( Offline communication )
และเข้าใจไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ไม่ได้
2.
ไม่ใช้เว็บไซต์อย่างแท้จริง
บางธุรกิจเปิดเว็บไซต์ตามแฟชั่น
ตัวอย่างที่ดีคือ
Toys " R " Us
ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกของเล่นที่ใหญ่ที่สุด
และเป็นที่รู้จัก
กันมากที่สุด
ในระบบค้าปลีก
แต่ในระบบอีคอมเมิร์สกลับพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าเมื่อเปรียบเทียบกับ
E-toys
เพราะในตอนเริ่มต้น
บริษัทเปิดเว็บไซต์
โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อให้เป็นแคตตาล็อกออนไลน์เท่านั้น
จึงจัดสรรงบประมาณและบุคลากรจำนวนน้อยมาก
ซึ่งผิดกับ
E-toys
ซึ่งเอาจริงเอาจังใน
เรื่องนี้
3.
ดำเนินงานโดยขาดความเป็นมืออาชีพ
บุคลากรด้านต่างๆ
ไม่สันทัดงานด้านอีคอมเมิร์ส
ขณะเดียวกันต้องรับผิดชอบงานในระบบการค้าแบบดั้งเดิม
ด้วย
ทำให้ขาดทักษะและความชำนาญ
4.
ไม่ปรับหรือปรับกลยุทธ์ช้าเกินไป
การตลาดในระบบอีคอมเมิร์สจะต้องเป็นกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก
เพราะการแข่งขันและเทคโนโลยีที่จะสนับสนุน
กลยุทธ์การตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทำให้กลยุทธ์การตลาดบนเว็บล้าสมัยเร็วมาก
ถ้าไม่หมั่นตรวจสอบประสิทธิผลของกลยุทธ์
อาจทำให้กลยุทธ์
เดิมล้าสมัย
และสูญเสียลูกค้าในที่สุด
5.
หลงกับเทคโนโลยีจนลืมความสำคัญของตลาด
มักจะเป็นที่เข้าใจผิดว่าการสร้างเว็บจะต้องเพรียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีด้วยภาพเคลื่อนไหว
เสียง และ
เทคนิคต่างๆ
เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เข้ามาเยี่ยมชม
เว็บที่มากด้วยเทคโนโลยีทำให้การเข้าเยี่ยมชมใช้เวลานานมาก
ในการที่จะเรียกแต่ละหน้า
มาดู
จึงเป็นสาเหตุให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไปเว็บอื่น
เช่นเดียวกับรายการทีวีหรือโฆษณาทางทีวีที่ไม่น่าสนใจ
ผู้ชมมักจะกดรีโมทคอนโทรลเพื่อเปลี่ยนช่องไป
ดูรายการที่ช่องอื่น
นอกจากนี้ต้องไม่ลืมว่า
ข้อมูลเป็นสิ่งที่ลูกค้าสนใจมากกว่าเทคโนโลยี
6.
ใช้การตลาดแบบเหวี่ยงแห
( Mass marketing )
แทนที่จะใช้การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม
( Segment หรือ niche marketing )
หลายบริษัทเมื่อเปิดเว็บไซต์
ขึ้นมามักจะเริ่มต้นด้วยความพยายามที่จะทำให้จำนวนผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมให้มากที่สุด
จึงบรรลุทุกสิ่งทุกอย่างในเว็บของตน
จนทำให้ไม่มีกลุ่มเป้าหมาย
ที่แน่ชัด
ดังนั้นจึงควรที่จะเลือกกลุ่มเป้าหมายให้แน่ชัด
แล้วนำเสนอสินค้าหรือบริการในแนวลึก
ซึ่งตรงตามหลักการตลาดเฉพาะกลุ่ม
ตัวอย่างเช่น
www.timezone.com
เสนอขายเฉพาะข้อมูลระดับหรู
เพื่อขายกลุ่มเป้าหมายระดับสูง
ซึ่งเป็นเว็บหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในยอดขาย
แม้ว่าจะมีผู้เยี่ยม
ไม่มาก
แต่ทุกคนที่เข้ามาคือ
กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงทางการตลาด
7.
อัดแน่นด้วยข้อมูล
แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ไม่จำเป็นสำหรับลูกค้า
เป็นข้อมูลที่ไม่ทำกำไรหรือก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดๆ
ต่อบริษัท
ซ้ำยังทำให้เกิดต้นทุน
บางเว็บบรรจุผังองค์กร
( Organization Chat )
และรายละเอียดทุกอย่างของบริษัท
ราวกับว่ากำลังทำรายงานประจำปีหรือโบร์ชัวร์ของบริษัท
บทสรุป
รูปแบบการค้าได้ถูกปฏิวัติมาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
การตลาดซึ่งเป็นหน้าที่หนึ่งของธุรกิจย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย
นักการตลาด
ต้องเข้าใจถึงความแตกต่างของกลยุทธ์การตลาดแบบดั้งเดิมและกลยุทธ์การตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์
และในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงจะต้องสามารถผสม
ผสานทั้ง 2
กลยุทธ์ให้สอดคล้องกัน
และจะต้องเฝ้าติดตามและประเมินผลของกลยุทธ์อย่างไกล้ชิด
เพราะบทเรียนที่เป็นประสบการณ์ทางการตลาดยังมีให้ศึกษาไม่
มากนัก
เนื่องจากเป็นยุคเริ่มต้นของการตลาดอิเล็กทรอนิกส์แบบจริงจัง
ดังนั้น
ประสบการณ์จาการลองผิดลองถูกจึงเป็นสิ่งมีค่ามากก็ต่อเมื่อนักการตลาดเรียนรู้
ได้เร็ว
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เริ่มต้นนำอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด
ต้องรีบปรับตัวเพราะมูลค่าของการซื้อขายกันทางอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งรายงาน
จาก www.cyberatlas.com
เมื่อปลายเดือนสิงหาคม
ค.ศ.2000
มีมูลค่าประมาณ
327
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเท่ากับ
5%
ของการซื้อขายกันทั้งโลก
และคาดว่าจะมี
ประชาชนชาวเน็ต
( Netizen ) ถึง 300
ล้านคนในปี
ค.ศ.2001
และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยอัตราที่รวดเร็ว
ตัวเลขและแนวโน้มเหล่านี้นับเป็นตัวเลข
ที่มีความหมายมากในเชิงการตลาด
การตลาดแบบอิเล็กทรอนิกส์จะประสบผลสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ
หลายประการ
เช่น
ความพร้อมทางเทคโนโลยี
นโยบายของรัฐบาล
ความปลอดภัย
จากระบบการชำระเงิน
การขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ
และการยอมรับของบุคคลในองค์กร
ดังนั้น
การกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด
นักการตลาดจำเป็นต้องคำนึง
ถึงปัจจัยต่างๆ
เหล่านี้ด้วย

การนำเทคโนโลยี อี-คอมเมิร์ซ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจมีมานานนับสิบปีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะใช้กันอยู่ในบริษัทใหญ่ๆในต่างประเทศ
ซึ่งจะเป็น
ไปในระบบ อี-
คอมเมิร์ซ แบบปิดที่ใช้เฉพาะภายในเครื่อข่ายของบริษัทเหล่านั้นเอง นับจากการใช้ระบบ
EDI ( Electronic data interchang )
เป็นสื่อใน
การทำ อี-
คอมเมิร์ซ และปัจจุบันได้พัฒนามาใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อแทนระบบ
EDI
บริษัทเหล่านี้ได้เล็งเห็นถึงความมีประสิทธิภาพในการทำงาน
มีต้นทุน
ในการดำเนินงานที่เหมาะสม และช่วยให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท โบอิ้ง ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมการบิน ,ห้างเทสโก้
ร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ฃึ่งบริษัททั้งสองแห่งดังกล่าวได้นำเอา อี-คอมเมิร์ซ มาประยูกต์ใช้
สำหรับอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของตนและพัฒนา
ปรับปรุงการบริหารกระบวนการของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain management) ของตน ให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้สูงสุด
อี-คอมเมิร์ซ ทั้งในรูปแบบ B2C และB2B ในประเทศไทยยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
และยังก้าวหน้าไปไม่มากนัก
เนื่องจากทั้งผู้ประกอบการและ
ภาครัฐของไทยยังขาดความรู้และความเข้าใจอย่างถ้องแท้ ในเรื่องนี้ ส่งผลให้ขาดทิศทางที่ถูกต้องในการก้าวเดิน
และขาดการลงทุนอย่างแหมาะสมเพื่อที่จะ
พัฒนาระบบ อี-คอมเมิร์ฃให้สามารถช่วยในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยแห่วความสำเร็จของการนำระบบ อี-คอมเมิร์ซ
ไปใช้ในการดำเนิน
ธุรกิจการค้าสำหรับผู้ประกอบการไทยมีดังนี้
1. วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร
ผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์
ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการนำเอาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและ
อี-คอมเมิร์ซ เข้ามาประยุกต์ใช้ในการทำงานขององค์กร ต้องมีการศึกษาให้เข้าใจในรู้แบบของ อี-ดอมเมิร์ซ
ทั้ง B2C
และB2B อย่างชัดเจน ว่าจะนำมาช่วยในเรื่องการบริการลูกค้าและในกระบวนการบริหารห่วงโซ่อุปทาน
(supply chain
management ) ได้อย่างไรบ้าง มีความเข้าใจถึงประเภทหรือหน้าที่การทำงานของเว็ปไฃต์
ที่มีหน้าที่ในการโฆษณา
ประชาสัมพันธ์บริษัทและสินค้าหรือบริการของบริษัทเว็ปไฃต์ที่มีหน้าที่ในการช่วยค้นหาเรื่องต่างๆ ที่ต้องการ(ที่เรียกว่า
search engine web site เช่น www.yahoo.com
เป็นต้น) ในบ้างครั้งในการที่แต่ละองค์กรมีเว็ปไฃต์เป็นของตนเอง
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้นำเอาระบบอี-คอมเมิร์ซ์เข้าไปไช้ในการดำเนินงานแล้วแท้จริงอาจเป็นเพียงเว็ปไฃต์ที่ช่วย
ในการโฆษณาเท่านั้นเอง ผู้บริหารต้องอย่ามองอี-คอมเมิร์ซเป็นเรื่องของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจจะทำให้เกิด
ความกลัวที่จะใช้เทคโนโลยี ทั้งอินเตอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซ
และที่สำคัญผู้บริหารจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการจากเดิมที่
เพียงแต่รอดูว่าใครจะสามารถทำได้จนสำเร็จแล้วค่อยเดินตาม แต่ในโลกการค้ายุคใหม่
ผุ้บริหารจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์
เชิงรุกที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าก่อน แทนการรอดูเหมือนแต่เดิม |
|
2.กระบวนการและวิธีการทำงาน
ผู้บริหารจะต้องแจ้งหรืออธิบายให้พนักงานในองค์กรรับทราบอย่างชัดเจนว่ากระบวนการและวิธีการทำงานใดบ้าง
ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นระหว่างแผนกต่างๆ ภายในองค์กรเอง ระหว่างองค์กรกับฃัพพลายเออร์ขององค์กรหรือระหว่างองค์กรกับลูกค้าขององค์กร
รวมทั้งจะเริ่มต้นอย่างไร เริ่มต้มได้เมื่อไรเป็นต้น
3. พนักงานและองค์กร
ผู้บริหารต้องทำความเข้าใจกับพนักงานขององค์กรให้มีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานที่จะนำเอาเทคโนโลยี
อินเตอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซ เข้ามาประยุกต์ใช้ และทิศทางในการก้าวเดินต่อไปขององค์กร อันจะเป็นความลดความกังวลในการทำงาน
และลดการต่อต้าน
ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกระบวนการจาการทำงานแบบเดิม ไปเป็นกระบวนการแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีและข้อมูลในการทำงาน
4. ระบบข้อมูลพื้นและระบบคอมพิวเตอร์
ระบบขอ้มูลพื้นฐานและระบบคอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า ระบบ ERP SYSTEM
( emterprise resource
planing ) หรือ ระบบ BACK OFFICE ขององค์กรมีความสามารถ ที่จะรองรับการนำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและอี-คอมเมิร์ซมาใช้หรือไม่
เนื่องจากการดำเนิน
งานโดยวิธีการแบบใหม่นี้จะมีปริมาณขอ้มูลที่จะต้องเก็บไว้และจะมีปริมาณข้อมูลไหลเวียนจำนวนมาก เช่น
ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่าง
ๆ ( เช่น
ข้อมูลการรับคำสั่งซื้อ
ข้อมูลการจัดส่ง ฯลฯ)
รวมถึงข้อมูลของลูกค้า เพื่อที่จะสามารถติดตามและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง
ข้อมูลการติดต่อ
ทางการค้ากับซัพพลายเออร์ในด้านต่างๆ ขององค์กร ข้อมูลการผลิต และสินค้าคงคลัง เป็นต้น ฃึ่งจะเป็นการบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอดเวลาของการ
ดำเนินงาน เพื่อที่จะให้มีสินค้าและบริการในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อสนองตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อยู่เสมอ
ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานที่
เหมาะสมด้วยเช่นกัน
5. ระบบอี-คอมเมิร์ซ
จะต้องมีการพัฒนาระบบอี-คอมเมิอร์ฃด้วยตัวเอง หรือตัดสินใจเลือกใช้ระบบอี-คอมเมอร์ฃจากผู้ให้บริการต่างๆ ที่จะสามารถ
ทำงานร่วมกับกับกระบวนการในการทำงานขององค์กร และมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาปรับปรุงได้ โดยต้องคำนึงถึงการลงทุน
การอบรมการใช้งานแก่
พนักงาน เวลาที่ต้องการเข้าสู่ระบบอี-คอมเมิอร์ฃ และสภาวะการแข่งขันเป็นต้น
6. ระบบรักษาความปลอดภัย
องค์กรจำเป็นที่จะต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เพื่อรองรับการทำงานของระบบอี-คอมเมิร์ซ เพื่อป้องกันการ
โจรกรรมข้อมูลในทุกๆ
ส่วน
และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกฝ่ายที่เข้าร่วมใช้ระบบอี-คอมเมิร์ซ
7.เวลาที่จะเริ่มใช้ระบบอี-คอมเมิร์ซ
การเตรียมการเพื่อจะเริ่มใช้ระบบอี-คอมเมิร์ซ
จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่องค์กรสามารถ
เตรียมความพร้อมภายใน เช่น การพัฒนาบุคลากร การจัดเตรียมระบบคอมพิวเตอร์ และให้ทันต่อการแข่งขัน เพื่อให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสะดวกให้แก่ลูกค้าการประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เช่น ฃัพพลายเออร์ เพื่อองค์กรมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
และมีต้นทุนที่เหมาะสม
8. กลยุทธ์การตลาด
นอกจากเตรียมความพร้อมขององค์กรในด้านต่างๆแล้วยังต้องเตรียมการสำหรับกระบวนการด้านการตลาดทั้งในแบบเดิม
( offline marketing ) และแบบใหม่ที่ดำเนินการผ่านเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต
( online marketing ) ให้เป็นไปอย่างผสมผสานและสอดคล้องกัน
เพื่อที่จะสามารถ
แข่งขันกับคู่แข่งทางการค้าอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพอี-คอมเมิร์ซ ในวันนี้เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปประยุกต์ในกระบวนการต่างๆ
ขององค์กรได้หลาย
ๆ
ส่วนไม่ว่าจะเป็นกระบวนการขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภค ที่เรียกว่า B2C
E-Commerce และประยุกต์เข้าไปในกระบวนการบริหารห่วงโซ่อุปทาน
( supply chain management ) ฃึ่งเรียกว่า B2B
E-Commerce ที่เป็นกระบวนการประสานงานกับซัพลายเออร์
การผลิต
การจัดเก็บและการเคลื่อนย้ายสินค้า
และบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ทันการโดยที่องค์กรจะต้องได้รับประโยชน์สุงสุดเช่นกัน
และช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
ในโลกการค้ายุคใหม่นี้.......
|